เรื่องบางอย่างอาจต้องรอให้เวลาผ่านไปสักพัก ความจริงถึงค่อยปรากฏ เหมือนกับกรณีวัคซีนไวรัสโควิด-19 ชนิด mRNA (ที่ตอนนั้นคนไทยอยากได้กันมาก) ก็มีผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า วัคซีนประเภทดังกล่าวถูกพบว่า มีโอกาสจะทำให้เซลล์ของ “หัวใจ” ได้รับความเสียหาย หรือเกิดอาการหัวใจบวมโตโดยทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ของแต่ละบุคคลว่าเป็นเช่นไร อาการลักษณะนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “ภูมิคุ้มกัน” ของร่างกายมองว่า เจ้าตัว RNA ที่ถูกฉีดเข้ามาในร่างกาย (เพื่อสั่งให้ร่างกายรู้จักวิธีฆ่าโควิด) คือสิ่งแปลกปลอมที่จำเป็นต้องได้รับการต่อต้านแน่นอนว่าหลังการได้รับวัคซีนแล้วมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอาการเจ็บหน้าอก หายใจติดไม่อิ่ม มีไข้ แต่สำหรับร่างกายบางคนอาจมีความพิเศษคือ ภูมิคุ้มกันปล่อยสารไซโตไคน์ (สารโปรตีนสำหรับระดมพลภูมิคุ้มกันมาฆ่าสิ่งแปลกปลอม) ในปริมาณที่มากกว่าปกติ ซึ่งสารดังกล่าวสามารถทำให้เซลล์หัวใจเสียหายจนเป็นที่มาของ อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ โดยสถิติที่ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดค้นพบคือ จะเกิดขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นชายวัย 30 ปี หรืออายุน้อยกว่านั้นอัตราความเสี่ยงอยู่ที่ 1 ต่อ 140,000 สำหรับการฉีดวัคซีน mRNA เข็มแรก ก่อนที่อัตราเสี่ยงจะเพิ่มเป็น 1 ต่อ 32,000 สำหรับการฉีดวัคซีนประเภทดังกล่าวเป็นเข็มที่สองแม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ทางทีมวิจัยยืนยันว่าผู้ได้รับวัคซีนที่แสดงอาการลักษณะนี้ มีเคสที่ถึงขั้นเสียชีวิต ขณะที่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเคยรายงานว่า สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ (FDA) มีแผนกำหนดให้วัคซีนโควิด-19 ต้องแปะป้าย “กล่องดำ” ซึ่งหมายถึงการแจ้งผู้ใช้ให้ทราบว่า เป็นเวชภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงขั้นสูงสุด... เพียงแต่ยังไม่สามารถเคาะอนุมัติกันได้.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม