การเจรจาข้อเสนอสันติภาพยูเครนฉบับใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงติดหล่มตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมีเงื่อนไขเสียดินแดนที่ฝ่ายยูเครนและสหภาพยุโรปยอมรับไม่ได้อย่างไรก็ตาม หากติดตามสถานการณ์สงครามตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (และกำลังจะ ครบ 4 ปี ในเดือน ก.พ.2569) จะสังเกตได้ว่ากระบวนการหาทางหยุดยิงและบรรลุสันติภาพ ได้อยู่ในสภาพวังวนมาโดยตลอด และมีรูปแบบที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก เริ่มจากการที่กองทัพรัสเซียมีความได้เปรียบในสนามรบ ยึดเมืองต่างๆ ไปเรื่อยๆนำไปสู่ความวิตกกังวลของบรรดาผู้สนับสนุนหลัก โดยเฉพาะรัฐบาลสหรัฐฯ จนมีการออกประกาศว่า หากยูเครนยังคงดึงดันจะไปในทิศทางนี้ ทุกสิ่งจะย่ำแย่ลงยิ่งกว่าเดิมกลายเป็นไอเดียการร่างข้อตกลงหยุดยิงหรือข้อตกลงสันติภาพขึ้นมาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ เสนอให้หลายฝ่ายลองคุยกัน แต่สุดท้ายแล้ว จะต้องมีเงื่อนไขที่ไม่น่าพอใจ อย่างครั้งนี้คือเรื่องยอมเสียจังหวัดโดเนตสก์และลูกานสก์ในภูมิภาคดอนบาส การห้ามไม่ให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และการลดกำลังทหารของยูเครนให้เหลือไม่เกิน 600,000 นายพอมาถึงจุดนี้รัฐบาลสหภาพยุโรปจะมีการเดินเกมเจรจาอย่างหนัก กระโดดเข้าจับมือกับยูเครน ยืนหยัดเคียงข้าง และใช้วิธีทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้สหรัฐฯ รับรู้ว่า “ทำไม่ได้” จากนั้นกระบวนการทางการเมืองก็จะเดินเข้าอีหรอบเดิม รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ย่อหย่อนหรือโปรรัสเซียเกินไปพอเกิดกระแสต้านรัสเซียในระดับที่อาจส่งผลกระทบต่อการเมืองในรัฐบาลสหรัฐฯ มากพอ ทางรัฐบาลสหรัฐฯก็จะเริ่มแสดงท่าทีขึงขัง เริ่มเปลี่ยนแนวทาง ออกมาข่มขู่ฝ่ายรัสเซียแทนว่า ถ้าไม่หยุดทำศึก จะโดนเล่นงานอย่างหนักทางเศรษฐกิจ มีมาตรการคว่ำบาตรมากมายเตรียมรอถล่มอยู่สุดท้ายรัฐบาลรัสเซียก็จะกลับไปยักไหล่ งั้นไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องซีเรียส เราบุกต่อไปละกัน และยึดเมืองต่างๆ ได้เพิ่มเติม กลายเป็นว่ายูเครนยังคงต้องเสียดินแดนอยู่ดี ไม่รวมถึงเรื่องที่โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะพลังงานถูกถล่มเสียหายอย่างต่อเนื่อง ติดหนี้ชาติตะวันตกเรื่องค่าซ่อมแซมบานตะไทแน่นอนฝ่ายยูเครนและกลุ่มชาติตะวันตกไม่อยากให้รัสเซียชนะ แต่การทำอะไรซ้ำๆ โดยหวังว่าครั้งนี้จะมีผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป ทางรัสเซียก็ย่อมเป็นผู้ชนะอยู่ดี คำถามสำคัญคือจะมีทางอื่นหรือไม่ ที่จะหลีกหนีออกจากวังวนอันน่าปวดหัวดังกล่าว?ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม