ผลจากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีคำสั่งขึ้นค่าธรรมเนียม วีซ่าแรงงานทักษะเฉพาะทางต่างชาติ หรือ “เอช–1บี” ขึ้นสูงถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 3.2 ล้านบาท เมื่อเดือนที่แล้ว บวกกับสภาพบรรยากาศในสหรัฐฯตอนนี้ ที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนต่างชาติเท่าไหร่ ทำให้รัฐบาลอินเดียเริ่มคิดจะดึงชาวอินเดียที่ไปทำงานด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและไอทีที่ประเทศสหรัฐฯกลับมาทำงานที่บ้านเกิดอีกครั้งประจวบเหมาะกับชาวอินเดียส่วนหนึ่งที่ทำงานในสหรัฐฯ ก็เริ่มมีความคิดอยากกลับไป ที่อินเดียมากขึ้น ทำให้ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่รัฐบาลอินเดียจะดึงบุคลากรคุณภาพด้านต่างๆ ทั้งในสาขาเทคโนโลยี การแพทย์ นวัตกรรมด้านต่างๆกลับมาช่วยงานในประเทศ หลังจากที่ปล่อยให้สมองไหลออกไปต่อเนื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมานายนิธิน ฮัสซัน ชาวอินเดียที่ไปทำงาน ด้านไอทีที่ซิลิคอน แวลลีย์ นานถึง 20 ปี ตัดสินใจ กลับบ้านเกิดมาทำงานที่เมืองเบงกาลูรู แม้นายฮัสซันจะมีรายได้สูงถึง 1,000,000 ดอลลาร์ สหรัฐฯ หรือ 32.5 ล้านบาทต่อปีก็ตามนายฮัสซันบอกว่า มีความคิดอยากเปิดบริษัทของตัวเองมานานแล้ว แต่ด้วยสถานภาพแรงงานต่างชาติและข้อจำกัดเกี่ยวกับผู้อพยพในสหรัฐฯ จึงไม่สามารถทำได้และ ตัดสินใจทิ้งเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมา เริ่มต้นใหม่ในบ้านเกิดด้วยการเปิดบริษัทสตาร์ตอัพ และเน้นว่าจ้างชาวอินเดียที่กลับ จากการไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นหลักแม้ยังไม่มีการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมเท่าไหร่ แต่ นายซันจายา บารู อดีตที่ปรึกษาด้านสื่อของนายมานโมฮัน ซิงห์ อดีตนายก รัฐมนตรีอินเดีย และเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการสมองไหลของชาวอินเดีย ออกมา เรียกร้องให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรี เร่งดำเนินการ อย่างจริงจังติดต่อชาวอินเดียที่ทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ ทั้งในสาขา ไอที วิทยาศาสตร์การแพทย์ และเจ้าของธุรกิจ รวมทั้งรัฐบาลต้องออกนโยบายดึงดูดใจ ให้ชาวอินเดียในต่างประเทศกลับมาทำงานที่ บ้านเกิด เช่น การลดหย่อนภาษีให้กับสตาร์ตอัพ สำหรับบุคคลที่กลับจากต่างประเทศ ให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม เร่งปรับปรุงโครงสร้าง พื้นฐานให้ทันสมัย สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจนี่เป็นเวลาที่สุกงอมของรัฐบาลอินเดียแล้ว ในการดึงบุคลากรระดับมันสมองกลับมา อีกครั้งเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป. ผู้เล็กน้อยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม