สมรภูมิไทย-กัมพูชากำลังจะแปรเปลี่ยนกลายเป็น “สนามแข่งขันทางยุทธศาสตร์ของ 2 มหาอำนาจโลก” หลังกัมพูชาขยับจุดยืนจากจีนหันมาพึ่งพาสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้ข้อตกลงทางการค้าเป็นเครื่องมือแทรกแซงกดดันคลี่คลายความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ทว่าการที่กัมพูชาดึงมหาอำนาจเข้ามา “ก็เพื่อเสริมสร้างอำนาจต่อรองกับไทย” แต่ด้วยธรรมชาติของมหาอำนาจแล้วมักไม่มีของฟรีในโลก ถ้าหากสหรัฐฯตอบรับเข้ามาตามคำเชิญของกัมพูชานี้ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มองว่าเริ่มต้นคงต้องมาดูว่า “การเข้ามาของมหาอำนาจนั้นจะได้ผลประโยชน์อะไร” ไม่ว่าจะเป็นโอกาสได้ตั้งฐานทัพเพิ่มในภูมิภาคนี้ หรือได้ทรัพยากรในพื้นที่ยังอุดมสมบูรณ์ หรืออาจได้สิ่งมีมูลค่าสูง เช่น แร่หายาก (Rare Earth) อันเป็นผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มหาอำนาจมักจะพิจารณาอย่างแรกก่อนจะตัดสินใจเข้ามาเสมอ ถ้ามองภาพรวมลักษณะจะคล้ายๆ “กับกรณีเคสในยูเครน” ที่เราจะเห็นว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปมีบทบาทในการพูดคุยเรื่องสันติภาพ “ระหว่างรัสเซียกับยูเครน” แต่ในความเป็นจริงก็มีการเปิดดีลบางอย่างเพื่อหวังผลประโยชน์จากทรัพยากรของยูเครนด้วย เพราะยูเครนก็เป็นประเทศที่มีทรัพยากรเยอะมากในมุมนี้ก็จะเห็นว่า “ยูเครนตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่” เพราะไม่ใช่แค่ต้องเจอสงครามแต่ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจ สุดท้ายประชาชนในประเทศเล็กๆก็ต้องเป็นฝ่ายรับเคราะห์มากที่สุดย้อนกลับมาดูกรณีกัมพูชาหากมหาอำนาจเข้ามา engage หรือ encounter “ถือเป็นเกมแห่งความเสี่ยงสูง” เพราะอยู่ๆก็ลากพญาอินทรีเข้ามาปะทะกับพญามังกรในระยะเวลาฉับพลัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังไม่ใช่แค่ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจเท่านั้น แต่อาจทำให้ภูมิภาคอาเซียนต้องเผชิญแรงกดดันหลายมิติด้วยยกตัวอย่างให้เห็นภาพสมมติว่า “จีน” มีอิทธิพลในกัมพูชาอยู่แล้วจู่ๆ “กัมพูชา” ก็เปิดพื้นที่ หรือเปิดดีลให้ “สหรัฐฯ” เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในสถานการณ์นี้จีนก็มีอยู่ 2 ทางเลือก คือ 1.ต้องเพิ่มอิทธิพลในกัมพูชาให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อถ่วงดุลยันบทบาทสหรัฐฯ 2.จีนอาจต้องกระชับความสัมพันธ์กับไทยให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นเนื่องจากไทยและกัมพูชา “มีปัญหาเรื่องพรมแดน” หากจีนเข้ามามีบทบาทกับไทยในระดับลึกมากก็จะเป็นแรงกดดันทางอ้อมต่อ “กัมพูชา” เพราะจะทำให้สหรัฐฯขยับตัวจากความสัมพันธ์ระหว่างไทย และสหรัฐฯ มีความแน่นแฟ้นกว่ากัมพูชาแล้วเมื่อจีนเข้ามาเกี่ยวดองกับไทยมากขึ้นเรื่อยๆก็จะเริ่มกระทบต่ออิทธิพลของสหรัฐฯสิ่งนี้สหรัฐฯยอมไม่ได้ “เพื่อรักษาฐานอิทธิพลตัวเอง” ก็จะต้องเข้ามา engage กับไทยเพิ่มขึ้นแล้วหากไทยบริหารจัดการความสัมพันธ์ทั้ง 2 มหาอำนาจได้ “ก็จะไม่มีความเสี่ยง” แถมอาจเป็นโอกาสให้ไทยสามารถใช้จุดยุทธศาสตร์ของตัวเองเป็นแต้มต่อในการต่อรอง หรือดึงประโยชน์บางอย่างจากทั้งจีน และสหรัฐฯ ได้ด้วยซ้ำเพราะเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็ต้องการรักษาความสัมพันธ์กับ “ไทย” ก็ย่อมมีอำนาจต่อรองในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่สามารถสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศหากสามารถบริหารจัดการได้อย่างชาญฉลาดนี้จริงๆ แล้ว “การดึงมหาอำนาจโลกเข้ามาในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา” เรื่องนี้ถือเป็นเหลี่ยมของประเทศเล็กอย่างกัมพูชาที่มักเลือกใช้วิธีนี้มาตลอดในการดึงมหาอำนาจเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือเสริมสร้างอำนาจของผู้นำภายในประเทศมาตั้งแต่ “ยุคสงครามเย็น” คราวนั้นจะเห็นกัมพูชากลุ่มต่างๆพยายามดึงมหาอำนาจเข้ามาเช่นกันแต่ในเคส “สมเด็จฮุน เซน” มีสิ่งที่น่าสนใจตรงที่ในยุคของเขามีความสัมพันธ์กับจีนอย่างแน่นแฟ้นเป็นพิเศษ แต่ในอีกด้านหนึ่งสมัยนั้น “สหรัฐฯ” มักจะวิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้งมักจะประณามว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะฮุน เซนมีพฤติกรรมในเชิงเผด็จการชอบโกงการเลือกตั้งอยู่เสมอเรื่องนี้ก็ทำให้ฮุน เซน เบนเข็มไปหาจีนที่ไม่เคยวิจารณ์การเมืองกัมพูชากลายเป็นช่วงยุคฮุน เซน เรืองอำนาจ “สหรัฐฯ” เสียโอกาสการมีอิทธิพลไปโดยปริยาย “จีน” ก็เข้ามาเทกโอเวอร์ในหลายภาคส่วนของกัมพูชา แต่พอเข้าสู่ยุค “ฮุน มาเนต” สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปหา “สหรัฐฯ” อาจเพราะเขาเคยเป็นอดีตนักเรียนนายร้อย West Point ซึ่งเป็นโรงเรียนทหารระดับสูงของสหรัฐฯ จนทำให้มีคอนเนกชันกับแวดวงการทูต และการทหารสหรัฐฯ หรืออาจพูดคุยตกลงกับฮุน เซนในสถานการณ์แบบนี้ควรเปิดช่องให้สหรัฐฯเข้ามามีบทบาทก็ได้เพื่อแสดงให้จีนเห็นว่า “กัมพูชาไม่ใช่หมากที่ควบคุมได้ง่ายๆ” แล้วก็จะช่วยให้กัมพูชาสามารถเพิ่มอำนาจต่อรองบนเวทีระหว่างประเทศได้มากขึ้นด้วย ดังนั้นก็อาจกล่าวได้นี่เป็นหนึ่งในมูลเหตุเบื้องหลังที่อธิบายได้ว่าทำไมกัมพูชาในยุคของฮุน มาเนต จึงเริ่มมีท่าทีเปิดช่องให้สหรัฐฯเข้ามามีบทบาทยิ่งขึ้นในกัมพูชาประการถัดมาถ้าย้อนไปดูเมื่อไม่กี่เดือนตามข่าว “กัมพูชา” ก็เคยทำแบบนี้มาในช่วงปลายปีที่แล้วจนจีนได้ชะลอโครงการความร่วมมือการขุดคลองฟูนันเตโช่อันเป็นโครงการใหญ่สำคัญ “พอรัฐบาลกัมพูชาไม่พอใจจีน” จู่ๆก็ไปกวักมือเรียกเรือรบสหรัฐฯจากกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกมาเทียบท่าที่ท่าเรือสีหนุวิลล์เลยทันทีเหตุการณ์เรือรบสหรัฐฯเข้ามาเทียบท่านี้ “ส่งผลให้ท่าทีของจีนไม่พอใจอย่างมาก” เช่นเดียวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก็พอเห็นแนวโน้มบางอย่างได้ว่ากัมพูชาเลือกกระโจนเข้าไปมีบทบาทในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ และพันธมิตรเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะมิติทางทหาร แล้วหากสถานการณ์จบลงด้วยการให้ “เรือรบสหรัฐฯเข้ามาใช้ท่าเรือในสีหนุวิลล์บ่อยถี่ขึ้น” ก็เป็นไปได้สูงมากว่าจีนจะโกรธไม่พอใจอย่างรุนแรง เพราะจีนมีผลประโยชน์ในระยะยาวที่ได้ลงทุนไว้ในกัมพูชาอย่างมากมาย “ย่อมจะได้รับผลกระทบโดยตรง” หากกัมพูชาเปิดพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ให้กับสหรัฐฯเข้ามามากขึ้นนี้ดังนั้นความตึงเครียด หรือการเผชิญหน้าทางอ้อมระหว่าง “จีน และสหรัฐฯ” จึงเริ่มปรากฏเห็นในหลายจุดโดยเฉพาะตามตะเข็บพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และที่สำคัญในพื้นที่ของทะเลอ่าวไทย หากปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็อาจกลายเป็นจุดเดือดทางภูมิรัฐศาสตร์แห่งใหม่ของภูมิภาคก็ได้สิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อ “เสถียรภาพทั้งไทย กัมพูชา และอาเซียน” ที่ไม่ใช่แค่ในเชิงการเมืองระหว่างประเทศ แต่ยังลามไปถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความปลอดภัยในภูมิภาคอีกด้วย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม