ในฐานะประธานอาเซียนประจำปีนี้ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้ทำหน้าที่สำคัญเป็นตัวกลางจัดการพูดคุยระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา หลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณแนวชายแดนไทย ซึ่งทหารเขมรได้เปิดฉากโจมตีพื้นที่ชุมชนไทย ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย ท่ามกลางความท้าทายทางการเมืองภายในประเทศของตนเองหลังจากชาวมาเลเซียกว่า 20,000 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มาเลย์ ได้รวมตัวกันที่จัตุรัสอิสรภาพในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา แสดงเจตนารมณ์แรงกล้าต้องการให้ผู้นำมาเลเซีย “ลาออก” จากตำแหน่ง เนื่องจากมองว่า ล้มเหลวในการทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ทั้งการปฏิรูปการเมืองและสังคม การต่อต้านการทุจริต รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ ล้วนยังมองไม่เห็นความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ยังมีอดีต 2 ผู้นำอย่างมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย วัย 100 ปี และนายมูห์ยิดดิน ยัสซิน เข้าร่วมขับไล่ด้วยตัวเองปัญหาหลักที่ผู้ชุมนุมโกรธแค้นคือ รัฐบาลภายใต้การนำของอันวาร์ไม่สามารถจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่นโยบายการขยายภาษีการขายและบริการ รวมทั้งเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเมื่อเร็วๆนี้ ถูกมองว่าเป็นการดันให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นไปอีก ยิ่งผลักภาระให้กับประชาชนโดยเฉพาะชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ส่วนความพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของรัฐบาลกลับไม่เป็นประโยชน์ต่อชาวมาเลเซียทั่วไปอย่างเป็นรูปธรรมนอกจากนี้ ผู้ประท้วงยังมองว่ารัฐบาลของอันวาร์มีแนวโน้ม ฝักใฝ่อำนาจนิยมและแสดงความกังวลเรื่องการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทั้งการยกฟ้องข้อกล่าวหาการทุจริตของพันธมิตรทางการเมืองและการให้อภิสิทธิ์แก่บางกลุ่มคน ซึ่งผู้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการต่อต้านการทุจริตในทุกระดับของรัฐบาลอย่างจริงจัง ยุติการให้อภิสิทธิ์ปลอดพ้นความผิด การเล่นพรรคเล่นพวก ไปจนถึงการอุปถัมภ์ทางการเมืองแบบเก่าอย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการประท้วงครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่รับตำแหน่ง แต่อันวาร์ ผู้เก๋าเกมการเมือง กลับไม่สะทกสะท้าน และยังคงแสดงท่าทีมั่นคง พร้อมทิ้งท้ายกับผู้ชุมนุมว่า "อย่าลืมกลับมาเยือนกัวลาลัมเปอร์อีกนะ".อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม