จนถึงขณะที่ผมเขียนเปิดฟ้าส่องโลกฉบับนี้ การสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาก็ยังไม่สงบ แม้ว่าฝ่ายกัมพูชาจะตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างไร แต่หลักฐานเชิงประจักษ์ที่คนทั้งโลกเห็นด้วยตาก็คือ เขมรละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ1.กฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) มาตรา 2 (4)ระบุว่า รัฐสมาชิกทั้งหลายจะต้องละเว้นจากการข่มขู่ด้วยกำลัง หรือใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนหรือเอกราชทางการเมืองของรัฐอื่น ยกเว้นในกรณีป้องกันตนเอง (มาตรา 51) หรือได้รับอนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)แต่กัมพูชาละเมิดกฎบัตรฯด้วยการยิงจรวด BM–21 ซึ่งเป็นจรวดระยะไกลแบบปูพรมเข้าพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย และเคลื่อนกำลังทหารเข้าสู่พื้นที่พิพาทโดยไม่มีข้อตกลง ไม่มีการเจรจา หรือไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะมนตรีฯ และไม่ได้เป็นกรณีป้องกันตนเอง2.อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 ค.ศ.1949 (Geneva Conventions) ว่าด้วยการคุ้มครองพลเรือนในยามสงคราม โดยเฉพาะ “หลักการแยกแยะ (Principle of Distinction)” และ “หลักความได้สัดส่วน (Proportionality)”แต่กัมพูชาละเมิดด้วยการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล บ้านเรือนประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการใช้ระบบจรวด BM-21 ที่ไม่สามารถกำหนดเป้าหมายอย่างแม่นยำได้ ทำให้จรวดพุ่งเข้ามาทำลายเขตชุมชน ซึ่งหากพิสูจน์ได้ว่ามุ่งเป้าพลเรือนการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม (War Crimes)3.สนธิสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty หรือ Mine Ban Treaty) ห้ามผลิต ครอบครอง ใช้ หรือถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคีกับสนธิสัญญาออตตาวาตั้งแต่ ค.ศ.1999แต่กัมพูชากลับละเมิดสนธิสัญญาด้วยการเข้ามาวางทุ่นระเบิด PMN-2 ในพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บสาหัสเรื่องทุ่นระเบิด PMN-2 นี่กัมพูชาปฏิเสธยากครับ เพราะไทยไม่เคยมีทุ่นระเบิด PMN ใช้ในกองทัพหลังสงครามอินโดจีน กัมพูชาเก็บทุ่นระเบิด PMN ไว้เยอะ (โซเวียตไม่ได้ผลิตมานานแล้ว) ทุ่นระเบิด PMN ถูกห้ามใช้อย่างเด็ดขาดโดยสนธิสัญญาออตตาวา ใครมีต้องทำลายทิ้ง อนุญาตให้เหลือไว้เพียงนิดหน่อยเพื่อใช้ศึกษาการกู้ระเบิดเท่านั้นกัมพูชาหลอกประชาคมโลกว่าทำลายทุ่นระเบิด PMN หมดแล้ว แต่ในความเป็นจริงกลับแอบเก็บไว้อย่างดี เพราะทุ่นระเบิดที่พบมีสภาพใหม่แกะกล่อง การฝังทุ่นระเบิด PMN โดยเจตนาในพื้นที่ที่มีพลเรือนหรือทหารข้ามผ่านถือเป็นการละเมิดข้อห้ามอย่างจงใจผู้อ่านท่านครับ หากมีการระบุแหล่งที่มาได้ว่าเป็นของกัมพูชา จะถือว่าเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และอาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีในระดับนานาชาติได้ เพราะการใช้ PMN-2 ซึ่งเป็นทุ่นที่ไม่แยกแยะเป้าหมาย ยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ฝ่ายกัมพูชาทำขัดกับหลักมนุษยธรรมอย่างชัดเจนการกระทำของกัมพูชาขัดกับสิ่งตัวเองแถลงต่อประชาคมโลก หลังจากเห็นหลักฐานที่กัมพูชาทำแล้ว ผมเชื่อว่าไม่มีประเทศไหนยอมรับการกระทำเหล่านี้ได้ ภาพของเด็กนักเรียนไทยตัวเล็กๆถูกอพยพเข้าหลุมหลบภัย ภาพการเสียชีวิตของประชาชนคนบริสุทธิ์ในร้านสะดวกซื้อ ภาพของบ้านเรือน โรงพยาบาล ที่พังเสียหายยับเยิน นี่คือการละเมิดหลักการพื้นฐานอย่างร้ายแรง เพราะโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายกัมพูชาไม่เพียงแต่ละเมิดอธิปไตยของไทย แม้แต่คนกัมพูชาเองก็ถูกนำมาใช้เป็นโล่มนุษย์ เพราะทหารกัมพูชายิงอาวุธจากพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ ทำให้พลเรือนของตัวเองตกอยู่ในอันตรายและยังเป็นการทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องตอบโต้ไปยังพื้นที่นั้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนและทรัพย์สินของพลเรือนโดยไม่จำเป็น การใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาดภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศกัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรยูเอ็น และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังละเมิดศีลธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่สมควรได้รับการประณามอย่างเต็มที่จากประชาคมระหว่างประเทศความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาท้าทายกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่เพียงข้อพิพาทเรื่องดินแดน แต่คือบททดสอบว่าประชาคมโลกจะสามารถธำรงไว้ ซึ่งหลักการพื้นฐานที่ปกป้องพลเรือนและป้องกันการใช้กำลังโดยมิชอบได้เพียงใด.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม