6–7 กรกฎาคม 2025 มีการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์ (BRICS) ครั้งที่ 17 จัดขึ้นที่นครริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล การประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงในการสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ไม่ผูกขาดโดยชาติตะวันตก เดินหน้าโครงการ BRICS Pay เพื่อเป็นระบบชำระเงินข้ามชาติในสกุลเงินท้องถิ่น เน้นการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯในการค้าระหว่างสมาชิกและพันธมิตร รวมทั้งเตรียมจัดตั้งหน่วยงานกลางที่คล้ายธนาคารกลาง BRICS เพื่อดูแลระบบนี้ในอนาคตหลุยส์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล ให้สัมภาษณ์ระหว่างการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์ว่า “โลกไม่ต้องการจักรพรรดิ” ตอบโต้ที่ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีร้อยละ 10 สำหรับประเทศที่สนับสนุนนโยบายต่อต้านสหรัฐฯของบริกส์หลังจากนั้นเพียง 2 วัน 9 กรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีลูลาเรื่องสหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากบราซิลจากเดิมร้อยละ 10 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 โดยจะเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025ทรัมป์บอกว่าที่ขึ้นภาษีเพราะลูลาดำเนินคดีกับฌาอีร์ โบลโซนาโร อดีตประธานาธิบดีบราซิล ซึ่งเป็นพันธมิตรของทรัมป์อย่างไม่เป็นธรรม และกล่าวหาว่านี่เป็นการไล่ล่าทางการเมือง (ล่าแม่มด) การขึ้นภาษีบราซิลร้อยละ 50 จึงไม่ใช่เพียงมาตรการทางการค้า แต่เป็นการเมืองระหว่างประเทศของทรัมป์ที่สนับสนุนโบลโซนาโรอย่างออกนอกหน้าประธานาธิบดีลูลาแถลงตอบโต้ทันทีว่า “บราซิลจะไม่ยอมจำนนต่อจักรพรรดิคนใด” และพร้อมใช้กฎหมายตอบโต้ทางภาษีที่ให้อำนาจรัฐบาลเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในอัตราเดียวกัน (ร้อยละ 50) ลูลาบอกว่า “เราไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจใคร และจะไม่ยอมให้ใครมากำกับเรา” พร้อมกับยืนยันว่ากระบวนการยุติธรรมในบราซิลเป็นอิสระลูลารับมือทรัมป์โดยใช้การตอบโต้ทั้งถ้อยคำเชิงอุดมการณ์และเครื่องมือทางการค้า (reciprocal law) พร้อมกับเปิดช่องทางเจรจาเพื่อหาทางออก ลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ยังปกป้องอธิปไตยของบราซิลบราซิลเป็นประเทศคู่ค้าใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐฯ รองจากจีน ค.ศ.2024 มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์ แน่นอนว่าภาคเศรษฐกิจการส่งออกของบราซิลย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสหรัฐฯเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกสำคัญของบราซิลโดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์อย่างกาแฟ น้ำส้ม ถั่วเหลือง เหล็ก ฯลฯ การขึ้นภาษีร้อยละ 50 ทำให้สินค้าบราซิลมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ยากที่จะแข่งขันกับประเทศที่ขายสินค้าอย่างเดียวกันแต่ภาษีต่ำกว่าเกษตรกรผู้ส่งออกและบริษัทโลจิสติกส์ในบราซิลจะได้รับผลกระทบในระยะสั้นถึงระยะกลาง และความไม่แน่นอนอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติลดการลงทุนในภาคส่งออกของบราซิล ลูลาน่าจะคิดมาดีแล้วว่า บราซิลจะต้องเจอสหรัฐฯบีบอย่างนี้ แกจึงสุดลิ่มทิ่มประตูกับบริกส์ และต้องหันไปพึ่งตลาดของประเทศสมาชิกกลุ่มมากขึ้นทรัมป์ใช้ภาษีเป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงอำนาจต่อกลุ่มผู้สนับสนุนตน ทำไมทรัมป์จะไม่รู้ว่าการขึ้นภาษีโดยเฉพาะกับบราซิลจะทำให้คนอเมริกันต้องจ่ายแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่ทรัมป์ไม่ยอมอ่อนข้อให้กลุ่มบริกส์ ไม่ว่าจะชาติใดก็ตาม สมาชิกกลุ่มนี้ถือเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯทั้งสิ้นลูลาเองแม้บอกว่าจะพยายามเจรจาก่อน แต่ท่าทีของแกก็เห็นได้ชัดว่าต่อต้านจักรวรรดินิยมสหรัฐฯ และพร้อมที่จะตอบโต้ด้านภาษีกับสหรัฐฯเช่นกัน โดยรัฐสภาและตัวแทนจากฝ่ายรัฐของบราซิลก็สนับสนุนแนวทางนี้ยิ่งทรัมป์กดดัน บราซิลก็ยิ่งกลายเป็นฮีโร่ในสายตาประเทศเล็กชาติน้อยที่เบื่อนักเลงโตอย่างสหรัฐฯ แถมการตอบโต้ของลูลาไม่ได้เป็นเพียงการปกป้องผลประโยชน์ของบราซิล แต่เป็นการยกระดับบทบาทของบราซิลในกลุ่มบริกส์อีกด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าทรัมป์นำการเมืองเข้ามาแทรกแซงเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างชัดเจน และเป็นภาพของโลกที่กำลังเปลี่ยนจากการผูกขาดของมหาอำนาจไปสู่โลกที่มีหลายขั้วอำนาจบราซิลจึงกลายเป็นอีกประเทศที่อดรนทนไม่ไหวและลุกขึ้นสู้ ด้วยการประกาศชัดเจนว่าจะไม่ยอมถูกกำหนดด้วยอำนาจของสหรัฐฯฝ่ายเดียวอีกต่อไป.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม