การจัดระเบียบการค้าโลก ให้โคจรอยู่ในจักรวาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กำลังเป็นปัญหาหนักอกของรัฐบาลทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย 1 ในผู้ส่งออกหลักของโลก ที่กำลังยืนอยู่บนเส้นขอบของภาษีนำเข้าสูงถึง 36% หากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ไม่ประสบผลสำเร็จในปี 2567 สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย กินสัดส่วนกว่า 18% ของการส่งออกทั้งหมด มูลค่ารวมกว่า 56,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.85 ล้านล้านบาท แม้จะเป็นมหามิตรเก่าแก่ แต่ยามนี้แทบจะไร้เกราะป้องกัน เนื่องจากไทยมีสถานะเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูงข้อมูลของ U.S. Census Bureau และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR)ระบุ ในปี 2567 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 45,600 ล้าน ดอลลาร์ฯ (1.47 ล้านล้านบาท) โดยสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากไทยรวม 63,300 ล้านดอลลาร์ฯและส่งออกไปไทย 17,700 ล้านดอลลาร์ฯการถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม ทำให้สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯราคาสูงขึ้นทันที กระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ 5 ประเทศคู่แข่งสำคัญ ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในระบบการค้าโลกที่ถูกรวมศูนย์โดยโดนัลด์ ทรัมป์"เวียดนาม" คู่แข่งตัวจริงของไทยข้อมูลของ U.S. Census Bureau และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) พบว่า ครึ่งแรก (ม.ค.–พ.ค.) ของปี 2568 เวียดนามเป็นคู่แข่งหลักของไทยในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องนุ่งห่ม อาหารทะเล และเฟอร์นิเจอร์ กลุ่มเดียวกับที่ไทยส่งออกเป็นหลัก เฉพาะปี 2567 เวียดนามส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 136,600 ล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 19%) แค่ 5 เดือนแรกของปี 2568 ทำรายได้แล้ว 70,500 ล้านดอลลาร์ฯ มากกว่าไทย 2 เท่าตัว สินค้าหลัก ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม สิ่งทอ รองเท้า และอาหารทะเลภายใต้แผนภาษีทรัมป์รอบใหม่ เวียดนามถูกกำหนดให้เสียภาษีสูงถึง 46% แต่หลังยอมจำนนลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯเป็น 0% ทุกรายการ เวียดนามสามารถปิดดีลที่อัตราภาษี 20% จาก 46% แลกกับการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลวและสินค้าเกษตร โดยเวียดนามไม่มีข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือ FTA กับสหรัฐฯ การลดภาษีเกิดจากข้อตกลงทวิภาคีล้วน ๆหากไทยถูกเก็บภาษี 36% ขณะที่เวียดนามถูกเก็บ 20% จะเกิดความได้เปรียบทางราคาอย่างชัดเจน อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยเวียดนามมีซัมซุง, อินเทล และอีกหลายบริษัทตั้งฐานผลิตอยู่ในประเทศ ทำให้ส่งออกได้มากกว่าไทยอยู่แล้ว และยังเชื่อว่าภาษีที่ต่ำกว่าและค่าแรงที่ถูก จะยิ่งทำให้ห่วงโซ่การผลิตสินค้าอย่างสิ่งทอและรองเท้าเทไปที่เวียดนาม ขณะเดียวกันสหรัฐฯ อาจหันไปนำเข้าทูน่ากระป๋องหรือกุ้งจากเวียดนามมากขึ้นด้วย"เม็กซิโก" จากปลอดภาษีสู่อัตรา 30%เม็กซิโกเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าส่งออกในปี 2567 ที่ 505,000 ล้านดอลลาร์ กว่า 15% ของสินค้านำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ มากกว่าไทย 8 เท่า โดยช่วง ม.ค.-พ.ค.2568 เม็กซิโกส่งออกไปสหรัฐฯ แล้ว 219,500 ล้านดอลลาร์วิเคราะห์จุดแข็งของเม็กซิโก พบว่าได้เปรียบไทยในกลุ่มรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร ภายใต้ข้อตกลง United States-Mexico-Canada Agreement (USMCA) เม็กซิโกได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าส่วนใหญ่จากสหรัฐฯ นอกจากนั้นแม้สินค้าอาหารไทยจะเป็นที่นิยมในตลาดสหรัฐฯ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า ผู้นำเข้าสหรัฐฯอาจหันไปหาแหล่งอาหารที่ต้นทุนทางภาษีน้อยกว่าไทย โดยเฉพาะวัตถุดิบจากเม็กซิโก เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามการถูกประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้อัตรา 30% เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2568 พร้อมกับกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ทำให้สถานการณ์การค้าระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ เปลี่ยนไปในทันทีและอาจไม่ได้เปรียบทิ้งห่างไทยเช่นเดิม"จีน" ถูกเก็บภาษีสูงลดความได้เปรียบแม้จะเผชิญมาตรการภาษีอย่างเข้มข้นจากสหรัฐฯ จีนยังคงเป็น 1 ในแหล่งสินค้านำเข้ารายใหญ่ที่สุด โดยในปี 2567 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 438,900 ล้านดอลลาร์ แม้ช่วง ม.ค.-พ.ค. 2568 จะลดลงเหลือ 148,500 ล้านดอลลาร์ฯ แต่ยังมากกว่าไทยเกือบ 7 เท่าสินค้าของจีนที่ทับซ้อนและแข่งขันโดยตรงกับไทย ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร ชิ้นส่วนยานยนต์ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ อาหารแปรรูป ของใช้ในบ้าน ของเล่น และสินค้าเกษตรบางชนิดแม้อัตราภาษีที่จีนจะถูกเก็บยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่จีนเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ที่จะถูกเล่นงาน โดยไม่มีข้อตกลง FTA หรือการเจรจาลดภาษี ขณะที่ไทยอาจเจรจาเพื่อลดภาษีลงได้ หากไทยทำสำเร็จ ผู้ซื้อสหรัฐฯ อาจหันมานำเข้าสินค้าจากไทยแทนจีน เช่น เครื่องจักรหรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญแต่แม้จะมีภาษีสูง แต่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีนและความหลากหลายของสินค้า ทำให้จีนยังทรงพลัง หากถูกเก็บภาษีในระดับเดียวกัน (36%) ไทยจะเสียเปรียบในแง่ประสิทธิภาพการผลิต แบรนด์ และการเข้าถึงห่วงโซ่อุปทานโลก นอกจากนั้น ไทยยังพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากจีนจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลทางอ้อมให้ต้นทุนสินค้าส่งออกไทยเพิ่มขึ้น"อินเดีย" เบียดบี้สิ่งทอ–อาหารทะเลอินเดียกำลังกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม อาหารทะเล และชิ้นส่วนยานยนต์ ในปี 2567 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากอินเดียมูลค่า 87,400 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้น 4–5% จากปีก่อน และยังเติบโตต่อเนื่อง สินค้าอินเดียที่ทับซ้อนกับไทยในตลาดสหรัฐฯ ได้แก่ เสื้อผ้า ฝ้าย ผ้าปูที่นอน อาหารทะเล กุ้ง เครื่องเทศ และชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่อุตสาหกรรมเภสัชกรรมและอัญมณีของอินเดีย เริ่มเข้าไปกินส่วนแบ่งสินค้าไทยในสหรัฐฯมากขึ้นนอกจากนั้น การเดินเกมเชิงรุกเปิดเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคี (BTA) กับสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปี 2568 และแสดงท่าทีลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ อาจช่วยให้อินเดียจะถูกพิจารณาอย่างโอบอ้อมอารี ซึ่งจะทำให้ไทยเสียเปรียบทันที ในกลุ่มสิ่งทอและอาหารทะเล หากภาษีใกล้เคียงกัน อินเดียอาจได้เปรียบจากต้นทุนแรงงานต่ำ แต่หากไทยเจรจาลดภาษีได้เหลือ 18% จะพลิกสถานการณ์ได้เปรียบอินเดียทันที"อินโดนีเซีย" ทุนต่ำในตลาดเครื่องนุ่งห่ม–ยางแม้อินโดนีเซียจะเป็นผู้ส่งออกรายเล็กเมื่อเทียบกับจีนหรือเวียดนาม แต่มูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ เมื่อปี 2567 เพิ่มขึ้นถึง 7% แตะระดับ 28,100 ล้านดอลลาร์ฯ โดยเน้นสินค้าหลักอย่างสิ่งทอ รองเท้า ยาง และอาหารทะเล ซึ่งทับซ้อนกับสินค้าไทยอินโดนีเซียเป็นฐานผลิตสำคัญของแบรนด์เสื้อผ้าและรองเท้ารายใหญ่ เช่น Nike และส่งออกยางรถยนต์ไปสหรัฐฯ เช่นเดียวกับไทย ส่วนอาหารทะเล เช่น ทูน่า กุ้ง และปลากระป๋อง ก็ตีคู่กันมา ทั้งสองประเทศยังส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทับกันบางประเภท แม้ทางอินโดนีเซียจะเน้นการประกอบมากกว่าอินโดนีเซียถูกตั้งภาษีตอบโต้ 32% เริ่มบังคับใช้ 1 ส.ค.2568 แต่มีความพยายามขอเจรจา โดยยื่นข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม เช่น สั่งซื้อสินค้าสหรัฐฯเพิ่ม (เครื่องบินโบอิ้ง, ข้าวสาลี) และเปิดตลาดนำเข้า กรณีที่อินโดนีเซียเจรจาสำเร็จและได้อัตราภาษีที่ต่ำกว่าไทย เช่น เหลือ 20-25% และหากไทยเจรจาไม่สำเร็จและโดนที่ 36% จะส่งผลชัดในกลุ่มสินค้าที่ไวต่อราคามาก เช่น เสื้อผ้า รองเท้า และยางรถยนต์ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งแม้จะไม่ได้แข่งขันกันชัดเจนนัก แต่การถูกจัดเก็บภาษีที่ต่ำกว่าของอินโดนีเซีย อาจทำให้ไทยเสียตลาดเฉพาะกลุ่มสินค้า เช่น ไมโครเวฟ เครื่องใช้ไฟฟ้า.ทีมเศรษฐกิจอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปเศรษฐกิจ" ทั้งหมดที่นี่