“ผมคลุกคลีกับ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” มานานมาก จนคิดว่าผมเป็นเพียงแค่คำอธิบายเพิ่มเติมของเขาเท่านั้นเอง”...“ชาร์ลี มังเกอร์” กล่าวไว้ตอนที่ชื่อของเขาติดทำเนียบมหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุดในอเมริกาเป็นครั้งแรก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ เมื่อปี 1993“ชาร์ลีเป็นเพื่อนที่ดีมาก ถึงไม่มีความอ่อนโยน แต่ทั้งหมดนั่นเป็นของจริง เราไม่เคยเถียงกันสักครั้งเดียว เราคิดเห็นไม่ตรงกันในบางครั้ง และทำหลายๆสิ่งร่วมกัน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เราโกรธกัน หรือกวนประสาทกัน ถ้าชาร์ลีมีเหตุผลที่เหนือกว่า เขาจะไม่ยอมใครทั้งนั้น เราต่างคิดว่าอีกฝ่ายควรค่าแก่การตั้งใจฟัง”...“ปู่บัฟเฟตต์” ชื่นชมในตัวเพื่อนคู่คิดการลงทุนทั้งคู่เป็นคู่หูนักลงทุนที่ท่องยุทธจักรด้วยกันมาหลายทศวรรษ ทั้งๆที่เติบโตในเมืองโอมาฮาเหมือนกัน บ้านอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่บล็อก และตอนวัยรุ่น “ชาร์ลี มังเกอร์” เคยทำงานในร้านขายของชำของครอบครัวบัฟเฟตต์ แต่ด้วยอายุที่ห่างกันถึง 6 ปี ทำให้พวกเขาไม่เคยโคจรมาพบกันกระทั่งโชคชะตาลิขิตให้ทั้งคู่เจอกัน “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ “ชาร์ลี มังเกอร์” มาตั้งแต่ปี 1957...“ตอนนั้นผมบริหารเงินในระดับเล็กจิ๋วมากอยู่ในเมืองโอมาฮา ประมาณ 300,000 ดอลลาร์ ผมได้รับการแนะนำให้รู้จักชาร์ลีผ่าน “โดโรธี เดวิส” ภรรยาของ “เอ็ดวิน เดวิส” หมอชื่อดังประจำเมือง ผมไปหาพวกเขาที่อพาร์ตเมนต์เพื่อชักชวนให้ลงทุน และอธิบายว่าจะจัดการเงินอย่างไร ตอนที่ผมพูดจบ พวกเขาหารือกัน จากนั้นก็ตกลงร่วมลงทุนกับผมเป็นเงิน 100,000 ดอลลาร์ ผมถามว่าคุณไม่เห็นตั้งใจฟัง แต่ทำไมให้เงินมาลงทุน คุณหมอตอบว่า เธอทำให้ฉันนึกถึง “ชาร์ลี มังเกอร์” ผมบอกว่าผมไม่รู้จักหรอก แต่ผมชักจะชอบเขาแล้วสิ”สองปีหลังจากนั้น “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ก็ได้เจอ “ชาร์ลี มังเกอร์” ตัวจริงเป็นครั้งแรก ตอนที่พ่อของ “มังเกอร์” เสียชีวิต เขากลับมาเพื่อช่วยจัดการมรดกครอบครัวเดวิสนัดให้ทั้งคู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่ง “บัฟเฟตต์” ยอมรับว่า “เราเข้ากันได้ดีแทบจะในทันทีเลย”“ชาร์ลี มังเกอร์” รู้จักทุกคนในครอบครัวบัฟเฟตต์ ยกเว้น “วอร์เรน บัฟเฟตต์” กระนั้น เขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างในตัวชายหนุ่มรุ่นน้อง...“ตอนนั้นวอร์เรนตัดผมเกรียน เขาทำงานในห้องเรือนกระจกของบ้าน ผมประหลาดใจมากกับนิสัยการกินของเขา เขากินโคคาโคลากับถั่วอบเกลือ และไม่กินผักเลย”ทั้งคู่ตกหลุมรักกันและกันทันที “ชาร์ลี มังเกอร์” ในวัย 35 ปี ถามเกี่ยวกับสิ่งที่ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ในวัย 29 ปี ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพ และถามถึงวิธีการทำเงินของเขา เพื่อนรุ่นพี่รู้สึกประทับใจมากกับสิ่งที่ได้ฟัง จังหวะเวลาที่เจอกันยังสมพงษ์สุดๆ เพราะเป็นห้วงเวลาที่ “มังเกอร์” สูญเสียพ่อ ขณะที่ “บัฟเฟตต์” ก็ห่างจากผู้นำทางจิตวิญญาณ “อ.เบนจามิน เกรแฮม” ซึ่งเกษียณอายุจากการลงทุน และย้ายไปอยู่ลอสแอนเจลิส ตอนนั้น “บัฟเฟตต์” กำลังหลงทางเพราะขาดเข็มทิศ ก็ได้ “มังเกอร์” เข้ามาเติมเต็ม“มังเกอร์” สนใจอะไรหลากหลายเหมือน “เบนจามิน เกรแฮม” ทั้งคู่มีความซื่อสัตย์, อยู่กับความจริง, อยากรู้อยากเห็น และไม่ติดกรอบความคิดเก่าๆ “บัฟเฟตต์” ยอมรับว่า ในขณะที่เขาสนใจแต่เรื่องการลงทุน ทว่า ชาร์ลีกลับมีความคิดกว้างไกลกว่าเขามาก ชาร์ลีอ่านชีวประวัติเยอะมาก อ่านหนังสือเป็นร้อยๆเล่มในแต่ละปี เหมือนกรอกมันเข้าปากแล้วจดจำทุกอย่างได้หมดความเหมือนที่ดึงดูดทั้งคู่เข้าหากันจนติดหนึบคือ ทั้งคู่มีความ ปรารถนาอย่างแรงกล้าตั้งแต่เด็กที่อยากจะรวยให้ได้ “มังเกอร์” ยอมรับว่า “ผมก็เหมือนกับวอร์เรนที่มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะรวยให้ได้ ไม่ใช่เพราะผมต้องการรถหรูเฟอร์รารีหลายๆคัน แต่ผมต้องการอิสรภาพต่างหาก ผมกระหายอยากได้มัน ผมคิดว่ามันน่าอายที่ต้องส่งใบแจ้งหนี้ให้คนอื่นอยู่เรื่อยๆ ผมไม่รู้ว่าได้ความคิดนี้มาจากไหน แต่คิดแบบนี้ตั้งแต่จำความได้”ก็เหมือนกับบัฟเฟต์ “ชาร์ลี มังเกอร์” สร้างตัวจากความมุ่งมั่นและความชาญฉลาดด้านการลงทุนของตัวเอง ขณะที่โลกยกย่องว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจที่ฉลาดที่สุด เป็นเซียนวางกลยุทธ์ที่เหนือเมฆ แต่เขาถ่อมตัวว่า เป้าหมายของผมคือการอยู่ต่ำกว่าระดับความมั่งคั่ง ที่จะทำให้ถูกใส่ชื่อในทำเนียบมหาเศรษฐีฟอร์บส์นิดหนึ่ง เพราะมันจะช่วยให้ผมได้ยืนอยู่นอกแสงไฟ.มิสแซฟไฟร์