อินเดียเอาคำว่า Bombay (ชื่อเก่าของ Mumbai) ไปผสม กับคำว่า Hollywood ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ เป็น Bollywood ส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์ภาษาฮินดีที่เต้นเยอะ เพลงเยอะ เน้นสีสันและความบันเทิงเต็มรูปแบบเชนไนเป็นเมืองเอกของรัฐทมิฬนาฑู ย่านที่ผลิตภาพยนตร์ในเชนไนคือ Kadambakkam เมื่อรวมกับคำว่า Hollywood ก็เป็นคำว่า Kollywood เป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดียทางใต้ ใช้ภาษาทมิฬ มีฉากแอ็กชัน ดราม่า และเพลงแต่ถ้าเจอ Tollywood ก็ต้องถามนะครับว่าเป็น Tollywood ของรัฐใด บางทีอาจจะเป็นภาพยนตร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่นครไฮเดอร์ราบัด รัฐอานธรประเทศ ที่บทพูดเป็นภาษาเตลูกู Telugu + Holly wood = Tollywoodเมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตกที่ใช้ภาษาเบงกาลีก็มีภาพยนตร์ Tollywood เหมือนกัน ตอนนี้ในโลกเรามีหลาย wood ครับ เช่น Hallywood เป็นอุตสาหกรรมหนังเกาหลีใต้ ส่วนที่ เมืองเหิงเตี้ยนของจีนมีสตูดิโอใหญ่ที่สุดในโลกที่เรียกว่า เหิงเตี้ยน เวิลด์ สตูดิโอส์ เราเรียกหนังที่ผลิตที่นี่ว่า Chinawoodปากีสถานก็เริ่มดังเรื่องหนัง มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองละฮอร์ ใช้ภาษาอูรดู เน้นเรื่องครอบครัวและศาสนา Lahore + Hollywood = Lollywood เดี๋ยวนี้มีหนังไทยหลายเรื่องที่ไปทำเงินในต่างประเทศ แม้ไม่มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ แต่ฝรั่งก็เรียกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยว่า Thaiwood หรือ Nangwoodความตกต่ำของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูดของสหรัฐฯเกิดจากเนื้อหาซ้ำซาก ไม่มีความสดใหม่ เน้นสร้าง sequels (ภาคต่อ) นอกจากนั้นก็เป็นหนังรีบูตและรีเมก ผู้ชมเบื่อกับเรื่องราวเดิมๆ พวกหนังซุปเปอร์ฮีโร่คล้ายกันทุกเรื่อง พวกเขียนบทหนังอเมริกันไม่มีไอเดียต้นฉบับ ลอกกันไปลอกกันมาฮอลลีวูดใช้งบมหาศาล ทุนสร้างสูง แต่ทำรายได้น้อย ค่าตัวนักแสดงและผู้กำกับสูงมาก อย่างภาพยนตร์เรื่อง Snow White ของดิสนีย์ที่เคยประสบความสำเร็จมาทุกภาค นำมารีเมกครั้งใหม่ปี 2025 กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง งบประมาณการผลิต 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ค่าใช้จ่ายรวม 410 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่มีรายได้รวมน้อยมาก คาดว่าจะขาดทุนประมาณ 115-215 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯผู้ชมทั่วโลกเริ่มรู้ทันว่าฮอลลีวูดแทรกการเมืองเข้าไปในหนังเพื่อทำให้พวกอเมริกันดูเป็นพระเอก แถมยังรู้สึกว่าหนังอเมริกันยัดเยียดวาทกรรมทางเพศและเชื้อชาติ ผู้ชมบางกลุ่มรู้สึกว่าหนังฮอลลีวูดไกลตัว ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ทำให้คนดูไม่รู้สึกร่วม4 พฤษภาคม 2025 ทรัมป์เขียนในแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า สหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้า 100% สำหรับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศ แกบอกว่าขณะนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯกำลังตาย เนื่องจากรัฐบาลของหลายประเทศไม่แฟร์ด้วยการเสนอสิ่งจูงใจดูดผู้สร้างและสตูดิโอให้ย้ายออกจากสหรัฐฯ ทรัมป์บอกว่านี่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ ที่มาจากโฆษณาชวนเชื่อของต่างประเทศทรัมป์ให้กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯเก็บภาษีภาพยนตร์ที่สร้างในต่างประเทศอย่างฉับพลันทันที ณ บัดเดี๋ยวนี้ ผมเดาว่า ทันทีที่อ่านข้อความของทรัมป์จบ ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯก็คงต้องเอาหัวถูข้างฝา เพราะทรัมป์สั่งให้ทำทันที แต่ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย ทรัมป์ไม่อธิบายแม้แต่ว่า อ้า แล้วภาพยนตร์ที่เผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิงจะเก็บภาษีด้วยหรือเปล่าทรัมป์แต่งตั้งนักแสดงชื่อดังอย่างซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เมล กิบสัน และจอห์น วอยต์ เป็นทูตพิเศษ มีหน้าที่ฟื้นฟูอุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐฯ ทำหน้าที่นำเม็ดเงินที่เสียไปให้กับต่างชาติกลับคืนมาและทำให้ฮอลลีวูดกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งสิ่งที่ทรัมป์ต้องการจากการตั้งดาราภาพยนตร์เป็นทูตพิเศษ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคนชมภาพยนตร์รุ่นใหม่ชอบดูหนังที่สั้น กระชับ และดูในมือถือมากกว่าไปนั่งชมในภาพยนตร์ 2 ชั่วโมง โลกปัจจุบัน สตรีมมิงเป็นศูนย์กลาง คำว่า Hollywood ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพจะเต็มเปี่ยมเหมือนในอดีต การผูกขาดความนิยมทั่วโลกแบบในยุค 1900-2010 ไม่หวนคืนมาอีกแล้วโลกปัจจุบัน ทุกประเทศเล่าเรื่องของตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปฟังเรื่องของสหรัฐฯแต่เพียงประเทศเดียวเหมือนเมื่อก่อน.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม