ยังคงสร้างความตกอกตกใจไปทั่วโลกได้อย่างสม่ำเสมอ สำหรับประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ประกาศไอเดียว่า สหรัฐฯจะเข้ายึดครอง “ฉนวนกาซา” อย่างเบ็ดเสร็จ เล่นเอาทีมเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวตั้งตัวกันไม่ติด เนื่องด้วยไม่มีใครทราบมาก่อน จนกระทั่งทรัมป์พูดออกมาจากปากระหว่างการขึ้นโพเดียมร่วมกับ “เบนจามิน เนทันยาฮู” นายกรัฐมนตรีอิสราเอลจับใจความคือ สหรัฐฯจะขอเสนอตัวเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการปัญหาความวุ่นวายที่คาราคาซังในฉนวนกาซา ตามด้วยการ “ย้ายถิ่นชาวปาเลสไตน์” ซึ่งตัวเลขเบื้องต้นประเมินไว้ 2 ล้านคน พาคนเหล่านี้ไปอาศัยในประเทศอื่น ที่อยู่ใกล้กันอย่างจอร์แดนและอียิปต์ หรืออาจนำไปไว้ในประเทศอื่นๆที่เป็น “พันธมิตร” ของสหรัฐฯจากนั้นก็จะทำการรื้อฉนวนกาซา ทุบแล้วสร้างใหม่ทั้งหมด เพราะปัจจุบันนี้ก็มีแต่ซากปรักหักพัง อาคารง่อนแง่นจนอยู่ไม่ได้ แต่ย้ำชัดว่าสหรัฐฯจะไม่เป็นคนออกเงินให้ชาติอาหรับลงขันหอบเงินทุนมาให้ และหากสถานการณ์จำเป็น ก็ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะส่งทหารราบเข้าไปดูแลรักษาความสงบ ไอเดียฟุ้งดี แต่ทำได้หรือไม่ นั่นคือคำถามสำคัญ เนื่องด้วยปัญหาฉนวนกาซาถือเป็นประเด็นอันเรื้อรัง และยังถกเถียงกันไม่จบในทุกวันนี้ ย้อนไปได้ตั้งแต่ปม “ใครอยู่มาก่อน” ไล่มายัง “ฝรั่งสร้างเรื่อง” เป็นธุระกงการเอาใครมาอยู่ จวบจนกลายเป็นคอนเซปต์ “อยู่ร่วมกัน 2 รัฐ” ที่หลายชาติใน ตะวันออกกลาง รวมถึงนานาชาติให้การสนับสนุนอย่างไรก็ตาม ด้วยยี่ห้อทรัมป์ยุคนี้ ไม่น่าจะแค่พูดเอามัน เพราะประเด็นนี้ไม่ใช่การทำเซอร์ไพรส์ หรือพูดครั้งแรก ในช่วง การหาเสียงเดือน ต.ค.ก่อนเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดีทรัมป์เคยประกาศไว้ เพียงแต่ช่วงนั้นไม่มีใครใส่ใจนัก เชื่อกันไปว่าเป็นความเลอะเทอะของคนแก่ที่ไม่มีทางได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย“ฉนวนกาซาถือเป็นที่ทำเลทองในภูมิภาคตะวันออกกลาง มีน้ำที่ดี มีตำแหน่งที่ยอดเยี่ยม ถ้าฟื้นฟูสร้างให้เหมาะสม เผลอๆจะดีกว่าโมนาโกเสียด้วยซ้ำ”ประโยคนี้ของทรัมป์ยังสอดรับกับคำพูดของ “จาเรด คุชเนอร์” ลูกเขยเชื้อสายยิว สามีของ “อีวานกา ทรัมป์” ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน กล่าวไว้เมื่อเดือน ก.พ.2567 ว่า “ฉนวนกาซาถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ริมน้ำ น่าจะมีค่ามากเลยทีเดียว” คุชเนอร์เคยเป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐฯ (ยุคทรัมป์) และนับตั้งแต่ปี 2564 เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทด้านการลงทุนแอฟฟินิตี พาร์ตเนอร์ ที่เงินทุนมาจาก “ซาอุดีอาระเบีย” เป็นส่วนใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมาในช่วงที่สงครามอิสราเอล-กาซา ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด ได้มีเอกสารถูกเผยแพร่ออกมาจากฝ่ายอิสราเอล ถึงความตั้งใจที่จะเปลี่ยนโฉมฉนวนกาซาไปตลอดกาล เรียกว่า “แผนกาซา 2035” ซึ่งระบุถึงการทำให้พื้นที่ต้องสาปแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้า เชื่อมโยงกับอียิปต์ อิสราเอล และซาอุดีอาระเบีย โดยโปรเจกต์นี้จะมีขึ้นหลังจากฉนวนกาซาถูกจัดระเบียบอย่างเข้มข้น ผ่านการดึงกองกำลังรักษาความสงบจากนานาชาติ โดยเฉพาะกลุ่มชาติอาหรับเข้ามาบริหารจัดการ ปูทางสู่ความเป็นรัฐปกครองตนเอง และดำเนินการผูกสัมพันธ์กับอิสราเอลผ่าน “ข้อตกลงอับราฮัม”ฉนวนกาซาควรเป็นหนึ่งในท่าเรืออุตสาหกรรมที่สำคัญของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผ่องถ่ายสินค้าต่างๆของชาติตะวันออกกลาง รวมถึงกระจายน้ำมันดิบของซาอุดีอาระเบียออกสู่ตลาดโลก ทำเส้นทางคอร์ริดอร์แถบถนนขนส่งสินค้าเชื่อมต่อระหว่างอิสราเอล– กาซา–อียิปต์ ตัดผ่านกับเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างฉนวนกาซากับ “นีโอม” พื้นที่การลงทุนด้านนวัตกรรมของซาอุดีอาระเบียไปจนถึงการมองต่อยอดขยายผลว่า พื้นที่ริมชายฝั่งมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเวิลด์คลาส เหมือนกับ “เฟรนช์ริเวียรา” (เมืองรีสอร์ตอันโด่งดังทางภาคใต้ของฝรั่งเศส) เป็นสถานที่ของอสังหา ริมทรัพย์ไฮเอนด์ ศูนย์การค้าริมทะเล ขณะที่ “เมืองข่านยูนิส” (ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นหลักของกลุ่มฮามาส) ควรเป็นศูนย์รวมทางด้านวัฒนธรรม จัดตั้งจัตุรัสกลางเมือง (สมมติว่าชื่อจัตุรัสโดนัลด์ ทรัมป์) ให้เป็นแหล่งสินค้าวัฒนธรรมท้องถิ่นชาวปาเลสไตน์ อาหารปาเลสไตน์แบบดั้งเดิม ดนตรีและการเต้นรำตามขนบธรรมเนียมประเพณีฉนวนกาซายังสามารถกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “สันติภาพ” และ “การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” ไปจนถึงความร่วมมือ มีระบบการปกครองที่ได้รับการสนับสนุนจากชาวปาเลสไตน์และประชาคมโลก มีความเป็นหุ้นส่วนที่เข้มแข็งกับประเทศต่างๆในภูมิภาค และโครงการสนับสนุนเยาวชนต่างๆ ปลูกฝังความเข้าอกเข้าใจ ความปรองดอง เพื่อดับเชื้อความขัดแย้งตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น ฉนวนกาซาสามารถป่าวประกาศให้โลกรับรู้ว่า แม้แต่แผลที่ลึกก็สามารถเยียวยาจนหายได้ และสันติภาพที่ถูกบ่มเพาะก็จะเจริญงอกงามกลายเป็นอนาคตที่สดใสและสวยงามจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนั้นจะได้เห็นนายกรัฐมนตรีอิสราเอลยิ้มเป็นพิเศษ บอกว่าชอบในความคิดนอกกรอบ เพราะหากพิจารณาดีๆแล้ว แผนของทรัมป์ในวันนี้และแผนของอิสราเอลในวันก่อน มีความสอดรับกันอย่างลงตัว เหมือนคนเคยคุยกันมาแล้ว ซึ่งคงไม่ผิดไปอย่างใดนักที่ผู้ชมอย่างเราจะต้องมาจับตาดูกันต่อไปว่ากระบวนการมุ่งสู่ “กาซาริเวียรา” ขั้นแรก นั่นคือการย้ายถิ่นชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซาจะเป็นเช่นไรจอร์แดน อียิปต์ หรือชาติอื่นๆจะถูกบีบขนาดไหนให้รับผู้อพยพไป หรือทรัมป์จะใช้มาตรการสุดโต่งอะไรอีก เพราะเอาเข้าจริงแล้วชาติแถบนั้นเองก็ไม่ได้ปลื้มกับกลุ่มชาติพันธุ์นี้ และถึงจะคุยกันรู้เรื่องก็มองเสียด้วยซ้ำว่าคนเหล่านี้เป็นพลเมืองชั้นสองชั้นสาม.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม