“โลกแบบไหนที่จะยังคงอยู่ ท่ามกลางกัมมันตภาพรังสี” ไม่ใช่คำถามใหม่ แต่ช่วงนี้อาจมีตัวกระตุ้นให้นึกถึงก็คือหนังชีวประวัติ เจ.โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ นักฟิสิกส์ผู้บุกเบิก โครงการแมนฮัตตันที่พัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งออปเพนไฮเมอร์และทีมทำผลงานออกมาได้สำเร็จ เขาได้รับฉายาว่า “บิดาแห่งระเบิดปรมาณู”คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับดังฮอลลีวูด ได้เลือกเอาเรื่องราวของนักฟิสิกส์คนนี้มาถ่ายทอดลงในหนัง “ออปเพนไฮเมอร์” ทำให้รื้อฟื้นความสงสัยใคร่รู้ของผู้คนถึงพลังทำลายล้างของอาวุธนิวเคลียร์ มีข้อมูลระบุว่าใน ปัจจุบันมีหัวรบนิวเคลียร์ทั่วโลกอยู่ 12,512 ลูก และหัวรบใหม่ๆ ส่วนใหญ่เป็นสมบัติในคลังทหารของหลายชาติมหาอำนาจซึ่งองค์กรวิเคราะห์ข้อมูลการทหารระดับโลกอย่างสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) นำเสนอว่าจีนเป็นชาติที่ครอบครองหัวรบใหม่ถึง 60 ลูก โดยสื่อเดอะ การ์เดียน ในอังกฤษได้ใช้อ้างอิงในบทความเกี่ยวกับจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก ที่เผยแพร่เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา มีนักวิทยาศาสตร์ พยายามสร้างแบบจำลองระบบโลกด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาคำตอบว่าโลกจะเป็นอย่างไรเมื่อเผชิญกัมมันตภาพรังสีไปทุกหย่อมหญ้า นักวิทยาศาสตร์ด้านบรรยากาศบางคนเสนอรายงานสั้นๆ ในปี 2525 ว่าสงครามนิวเคลียร์จะทำให้เกิดกลุ่มควันขนาดใหญ่จนทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฤดูหนาวนิวเคลียร์” (nuclear winter) และอ้างว่าสิ่งนี้จะทำลายเกษตรกรรมและอารยธรรมในโลกของเราโดยอีกปีหนึ่งต่อจากนั้น ก็มีนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯและจากสหภาพโซเวียต ยืนยันว่าเมืองและเขตอุตสาหกรรมที่โดนอาวุธนิวเคลียร์จะก่อเกิดควันและฝุ่นมากกว่าการเผาป่าในพื้นที่ที่เทียบเท่ากัน หมอกควันจะบดบังแสงแดด ทำให้พื้นผิวโลกเย็นลง แห้ง และมืดอย่างรวดเร็ว แบบจำลองสภาพภูมิอากาศชี้ว่าแสงแดดที่น้อยลงจะทำให้อุณหภูมิโลกลดลงถึง 10 องศาเซลเซียสนานเกือบสิบปี สภาวะเยือกแข็งเมื่อถูกซ้ำเติมด้วยแสงแดดที่น้อยลงพืชก็สังเคราะห์แสงได้ยาก จะส่งผลร้ายแรงต่อการผลิตอาหารจนนำไปสู่ความอดอยากจำนวนมากทั่วโลกการใช้ระเบิดปรมาณูมีให้เห็นแล้วในอดีต โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่ 2 กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับฮิโรชิมะ และนางาซากิ ของญี่ปุ่น แม้สงครามนิวเคลียร์อย่างเต็มรูปแบบยังไม่ปรากฏขึ้น แต่อย่างน้อยๆ การสร้างแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ก็ช่วยให้เรามองลึกลงไปในก้นบึ้งของสงครามนิวเคลียร์โดยไม่ต้องสัมผัสกับมันและถ้ายังกำจัดอาวุธพวกนี้ไม่ได้ ความกังวลถึงสงครามนิวเคลียร์ก็ยังไม่หายไป ซึ่งยุคน้ำแข็งนิวเคลียร์ที่จะคร่าชีวิตผู้คนบนโลกและกินเวลายาวนานนับพันปี ก็ยังคงมีความเป็นไปได้อยู่.ภัค เศารยะคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม