ปฏิบัติการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานยูเครนของกองทัพรัสเซียยังคงส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเมื่อวันที่ 6 พ.ย. หนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส สหรัฐฯ รายงานอ้างการเปิดเผยของนายโรมัน ทคาชุก ผู้อำนวยการความมั่นคงกรุงเคียฟ ว่าทางการยูเครนเริ่มวางแผนที่จะอพยพประชาชนทั้งหมด 3 ล้านคนออกจากเมืองหลวง ในกรณีที่ระบบไฟฟ้าไม่สามารถใช้งานได้อย่างสิ้นเชิงทั้งนี้ นายทคาชุกชี้แจงว่า ความเข้าใจในตอนนี้ คือ หากกองทัพรัสเซียยังคงปฏิบัติการโจมตีเช่นนี้ต่อไป เราอาจต้องสูญเสียระบบไฟฟ้าทั้งหมด ข้าราชการในกรุงเคียฟได้รับแจ้งจากทางการว่า หากระบบไฟฟ้าใกล้จะพังทลาย ทางการจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ซึ่งหากถึงตอนนั้นก็ขอให้ข้าราชการกรุงเคียฟเริ่มการแจ้งข่าวแก่ประชาชน พร้อมเรียกร้องให้อพยพออกจากตัวเมืองทางการยูเครนยืนยันว่า สถานการณ์ในปัจจุบันยังคงพอที่จะบริหารจัดการได้ ยังไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าประชาชนเริ่มอพยพออกจากกรุงเคียฟ แต่แน่นอนว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วหากระบบไฟฟ้าหยุดทำงาน เพราะหากไม่มีไฟฟ้าก็จะไม่มีระบบประปาและระบบบำบัดน้ำเสีย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทางการจึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปกป้องระบบไฟฟ้าการโจมตีของรัสเซียส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานยูเครน เสียหายหรือถูกทำลายแล้วกว่า 40% ทางการท้องถิ่นได้จัดศูนย์พักพิงที่อบอุ่นให้แก่ประชาชนแล้วกว่า 1,000 แห่ง ส่วนกระทรวงต่างประเทศ ยูเครนแถลงขอบคุณชาติยุโรป 17 ชาติ ที่ส่งเครื่องปั่นไฟให้ยูเครน 500 เครื่อง ขณะที่สื่ออังกฤษในกรุงเคียฟ ระบุด้วยว่า กรุงเคียฟไม่มีไฟฟ้าใช้ในช่วงเช้าวันที่ 6 พ.ย. แต่ประชาชนยังขวัญกำลังใจดี ร้านค้า ยังเสิร์ฟกาแฟได้วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ สหรัฐฯ รายงานอ้างแหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯกำลังขอให้รัฐบาลยูเครนแสดงท่าทีว่าพร้อมที่จะเจรจากับรัสเซีย หลังช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน มีจุดยืนหนักแน่นว่าจะไม่เจรจากับรัสเซียอย่างเด็ดขาด จนกว่าจะได้ดินแดนที่เสียไปกลับคืนมา อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่า ที่สหรัฐฯให้ยูเครนเปลี่ยนท่าทีเจรจา ไม่ใช่เพราะอยากให้ยูเครนเจรจากับรัสเซียอย่างจริงจัง แต่เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลยูเครนจะยังคงได้รับการสนับสนุนจากประชาคมโลกต่อไป เพราะชาติหุ้นส่วนของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณมากขึ้นว่าเหนื่อยล้ากับสงคราม.