ทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางในชุมชนวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการสูญพันธุ์ไปของไดโนเสาร์ นั่นคือดาวเคราะห์น้อย ความยาว 10 กิโลเมตรพุ่งชนโลกเมื่อสิ้นสุดยุคครีเตเชียสในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือเม็กซิโก ก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เมื่อ 66 ล้านปีก่อน ว่ากันว่าได้คร่าชีวิตของสิ่งมีชีวิต 3 ใน 4 ของสายพันธุ์ทั้งหมดบนโลก พลังจากการชนเทียบเท่ากับระเบิดปรมาณู 10,000 ล้านลูก ก่อให้เกิดฝนกรดและฤดูหนาวยาวนานหลายสิบปีมีข้อถกเถียงอย่างต่อเนื่องในหมู่นักบรรพชีวินวิทยาว่า ไดโนเสาร์น่าจะอยู่ในจุดสูงสุดหรืออยู่ในช่วงเสื่อมลงในช่วงปลายยุคครีเตเชียสอยู่แล้ว เมื่อเร็วๆนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันด้านซากดึกดำบรรพ์สัตว์มีกระดูกสันหลังและการศึกษาทางบรรพมานุษยวิทยา ของสภาวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน เผยผลวิจัยซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ 1,000 ฟองจากลุ่มน้ำซานหยางในภาคกลางของจีน และวิเคราะห์หินมากกว่า 5,500 ตัวอย่างโดยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่ออายุฟอสซิลได้อย่างแม่นยำ ได้ข้อมูลว่าจำนวนไดโนเสาร์และความหลากหลายของสายพันธุ์ลดลงในช่วง 2-3 ล้านปีก่อนการชนของดาวเคราะห์น้อยนักบรรพชีวินวิทยาเผยว่า ความหลากหลายของไดโนเสาร์ในภูมิภาคนี้ลดลง อาจเป็นผลมาจากความผันผวนของสภาพอากาศโลกและการปะทุของภูเขาไฟขนาดใหญ่ ซึ่งฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ 1,000 ฟอง มาจาก 3 สายพันธุ์เท่านั้น ได้แก่ Macroolithus yaotunensis, Elongatoolithus elongatus และ Stromatoolithus pinglingensis โดย 2 ใน 3 มาจากกลุ่มไดโนเสาร์ที่ไม่มีฟันคือโอวิแร็พเตอร์ (Oviraptors) ส่วนอีกหนึ่งมาจากกลุ่มแฮโดรซอริด (Hadrosaurid) ที่กินพืชเป็นอาหาร อย่างไรก็ตาม ยังพบฟอสซิลเพิ่มเติมของไทแรนโนซอรัสและซอโรพอดที่เป็นไดโนเสาร์คอยาวตัวใหญ่ก็อาศัยอยู่ที่นั่นในช่วงเวลาเดียวกันราว 66.4-68.2 ล้านปี.