กระตุกต่อมความหวาดกลัวด้านนิวเคลียร์กันรอบใหม่ หลังโรงไฟฟ้าพลังงานปรมาณูในจังหวัด “ซาโปริชเชีย” ทางภาคใต้ของยูเครน กลายเป็นตำบล “กระสุนตก”ถึงขั้นเลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตร์เรส ต้องออกโรงเตือน “การโจมตีใดๆต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถือเป็นเรื่องฆ่าตัวตาย” อยากให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตปลอดทหาร พร้อมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยินยอมการส่งเจ้าหน้าที่ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เข้าไปตรวจสอบด้านความปลอดภัยโรงไฟฟ้าซาโปริชเชียถือเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำคาคอฟกา ริมแม่น้ำนีเปอร์ แม่น้ำสายหลักของยูเครน มีเตาปฏิกรณ์ปรมาณูมากถึง 6 เครื่อง สามารถผลิตไฟฟ้าหล่อเลี้ยงประเทศยูเครนคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ในช่วงก่อนเกิดสงครามนับตั้งแต่ยุทธการยูเครน-รัสเซียอุบัติขึ้น กองทัพรัสเซียเข้าควบคุมดูแลโรงไฟฟ้าซาโปริชเชียตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. ทีมเจ้าหน้าที่ภายในโรงไฟฟ้าได้รับแจ้งว่า ผู้ดูแลเปลี่ยนจากบริษัทเอเนอร์โกอะตอม ยูเครนกลายเป็นบริษัทโรซาตอม ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของรัสเซีย แต่ให้ทีมยูเครนดูแลจัดการไปตามเดิม ผ่านมาช่วงเดือน ก.ค. การโยกย้ายกำลังออกจากแนวรบภาคเหนือ (กรุงเคียฟ) และตะวันออกเฉียงเหนือ (ซูมี-คาร์คิฟ) ของกองทัพรัสเซีย ส่งผลให้การสู้รบในสมรภูมิภาคตะวันออก (ดอนบาส) และภาคใต้ (เคียร์ซอน-ซาโปริชเชีย) กลับมาทวีความรุนแรงอีกครั้ง หนังสือพิมพ์วอลล์ สตรีท เจอร์นัล สหรัฐฯ รายงานเมื่อวันที่ 5 ก.ค. ว่า กองทัพรัสเซียใช้อาณาเขตโรงไฟฟ้าเป็น “ฐานที่มั่น” โดยเป็นที่ตั้งของรถยิงจรวดพิสัยไกลอย่างบีเอ็ม-30 สเมิร์ช ขณะที่เดอะ เทเลกราฟ อังกฤษ ระบุว่า กองทัพยูเครนใช้โดรนฆ่าตัวตายโจมตีหน่วยรบรัสเซียในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริชเชีย มีทหารรัสเซียเสียชีวิต 3 นาย มีผู้บาดเจ็บ 12 คนทว่าข่าวการใช้โรงไฟฟ้าเป็นฐานกับข่าวการโจมตีดังกล่าวยังไม่ได้รับความสนใจเป็นท็อปฮิตติดเทรนด์เท่าใดนัก เนื่องจากรัฐบาลยูเครนยังไม่ยืนยันว่า จะเปิดฉากการรุกครั้งใหญ่เพื่อ “ตีโต้” ทวงคืนดินแดนที่เสียไปกลับมาทั้งหมด ซึ่งรวมถึงคาบสมุทรไครเมียที่ถูกรัสเซียผนวกไปเมื่อปี 2557หลังยูเครนตีฆ้องร้องป่าวจุดยืนทวงแผ่นดินคืน รัฐบาลสหรัฐฯประกาศรับลูกในวันที่ 1 ส.ค. แอนโทนี บลิงเคน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวหาว่า หน่วยรบรัสเซียใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริชเชียเป็นฐานที่มั่นและทำการยิงปืนใหญ่และอาวุธยาวโจมตียูเครนจากพื้นที่โรงไฟฟ้า ซึ่งกรณีนี้เข้าข่าย “ใช้นิวเคลียร์เป็นโล่” บีบให้กองทัพยูเครนไม่กล้ายิงสวนเพราะเกรงว่าจะทำอันตรายต่อเตาปฏิกรณ์ปรมาณู ต่อมาในวันที่ 3 ส.ค. ผู้อำนวยการ IAEA เป็นห่วงความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าซาโปริชเชีย อยากเข้าไปตรวจสอบว่าจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมหรือไม่ และยื่นคำร้องไปยังฝ่ายยูเครนและรัสเซีย หน่วยงานท้องถิ่นซาโปริชเชียที่อยู่ใต้ความดูแลของรัสเซียเชื้อเชิญไอเออีเอเข้ามาเยี่ยมชมการคุ้มครองโรงไฟฟ้าของหน่วยรบรัสเซีย ขณะที่บริษัทเอเนอร์โกอะตอมยูเครน คัดค้านการส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบเพราะจะกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมแก่ฝ่ายรัสเซีย ที่เข้ามายึดครองโรงไฟฟ้าสำคัญของยูเครนในช่วงเวลาเดียวกัน มีรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า หน่วยงานรัสเซียกำลังปรับเปลี่ยนระบบใหม่ เพื่อยุติการส่งกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริชเชียไปหล่อเลี้ยงเมืองต่างๆของยูเครน และหลังจากนี้จะจ่ายไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเฉพาะคาบสมุทรไครเมียและพื้นที่ยึดครองของรัสเซียเท่านั้น ทำให้ต่อมาวันที่ 8 ส.ค. และวันที่ 11 ส.ค. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถูกโจมตีรอบใหม่ด้วยปืนใหญ่และจรวดจนเกิดความเสียหายต่อระบบเซ็นเซอร์ ท่อจ่ายไฟ และท่อน้ำ รัฐบาลยูเครนกล่าวหาว่า กองทัพรัสเซียเป็นฝ่ายที่ยิงถล่ม ถือเป็นการสร้างความหวาดกลัวทางนิวเคลียร์ รัสเซียเป็นรัฐก่อการร้ายที่ตั้งใจยิงใส่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้านนักวิเคราะห์บางส่วนประเมินถึงกระแสความกังวล กลัวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะลุกลามกลายเป็น “เชอร์โนบิล ภาค 2” ไว้ว่า การโจมตีถูกเตาปฏิกรณ์ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกกังวล เกราะป้องกันเตาปฏิกรณ์ถูกออกแบบมาให้มีความทนทานสูง ด้านนอกเป็นโลหะและคอนกรีตหนากว่า 1.5 เมตร ขณะที่ฝาครอบเตาปฏิกรณ์ก็สามารถรับแรงกระแทกจากรถบรรทุก 20 ตัน วิ่งชนด้วยความเร็วกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบายๆอย่างไรก็ตาม ปัญหาจะเกิดขึ้นในกรณีที่เตาปฏิกรณ์ต้องปิดตัวลง ซึ่งจะส่งผลต่อการจ่ายไฟหล่อเลี้ยงประชาชนอย่างมหาศาล เพราะเตานิวเคลียร์ใช่ว่าจะปรับเปลี่ยนได้ตามใจอำเภอใจ ปิดแล้วเปิดใหม่ไม่ได้ต้องใช้เวลาหลายปี เช่นเดียวกับปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมหากโจมตีถูกโรงเก็บเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้แล้ว สารกัมมันตรังสีอย่างซีเซียมอาจเกิดการแพร่กระจายไปในดินหรือแม่น้ำ จนเกิดการปนเปื้อนเป็นวงกว้างแต่แน่นอน สงครามครั้งนี้เห็นชัดเจนมาตลอดว่า สิ่งที่เกิดขึ้น “ระหว่างทาง” บางอย่างก็จำเป็นต้องปล่อยไปตามยถากรรม และกลยุทธ์ แท็กติกที่โหดเหี้ยมแค่ไหนก็อาจถูกมองข้ามไปได้ เนื่องจากปลายทางสุดท้ายคือ ชะตากรรม “การดำรงอยู่และสถานะของประเทศชาติ”.วีรพจน์ อินทรพันธ์