สัตว์ลูกผสมนั้นเป็นผลผลิตจากการผสมพันธุ์ระหว่างสายพันธุ์ต่างๆ เช่น ล่อคือลูกผสมของลากับม้า หรือไลเกอร์เป็นลูกผสมของสิงโตตัวผู้กับเสือโคร่งตัวเมีย นั่นหมายความว่าสัตว์เหล่านี้ จะต้องได้รับการเลี้ยงดูโดยเจตนา ซึ่งในจารึกสมัยเมโสโปเตเมียโบราณ มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “คุงกา” (Kunga) ปรากฏอยู่ ทำให้นักโบราณคดี นักพันธุศาสตร์ และนักบรรพชีวินวิทยา พยายามถอดรหัสว่า “คุงกา” เป็นลูกผสมของสัตว์ชนิดใดเพื่อค้นหาสายพันธุ์ที่แท้จริงของ “คุงกา” ทีมนักวิจัยนำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสารพันธุกรรมโบราณ จากมหาวิทยาลัยปารีสในฝรั่งเศส ได้ศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมด หรือจีโนม จากโครงกระดูกของสัตว์ในสกุลม้าหรือสกุลลา 25 ชิ้นที่พบในสุสานอายุ 4,500 ปี ที่แหล่งโบราณคดีอัมม์ เอลมาร์รา ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของซีเรีย ทีมวิจัยเชื่อว่าซากเหล่านี้จะช่วยไขความกระจ่างเกี่ยวกับ “คุงกา” สัตว์ปริศนาแห่งเมโสโปเตเมียได้ และผลวิจัยที่ได้มาแสดงให้เห็นว่าเป็น “คุงกา” เป็นลูกผสมระหว่างลาตัวเมียกับลาป่าซีเรียตัวผู้ ฟันของมันมีลักษณะสึก บ่งบอกว่าตอนยังมีชีวิตอยู่ เจ้าคุงกาถูกสวมเหล็กที่ขวางปากซึ่งใช้สำหรับดึงบังเหียนทั้งนี้ “คุงกา” ถือเป็นสัตว์มีราคาแพงในเมโสโปเตเมีย แพงกว่าลาทั่วไปถึง 6 เท่า นักวิจัยเผยว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่รู้ว่าสังคมโบราณจินตนาการถึงบางสิ่งที่ซับซ้อน เช่น การเพาะพันธุ์สัตว์ลูกผสมโดยเจตนา จริงอยู่ที่พวกเขาเลี้ยงลาที่บ้าน และอาจไม่ได้เลี้ยงม้า และก็รู้ว่าไม่อาจเลี้ยงลาป่าซีเรียได้ ดังนั้น คนโบราณจึงพัฒนากลยุทธ์ในการผสมพันธุ์สัตว์ 2 สายพันธุ์ที่แตกต่างกันขึ้นมา.Credit : Glenn Schwartz/John Hopkins University