เมื่อ 27 พ.ย. นายกรัฐมนตรี ฟุมิโอะ คิชิดะ แห่งญี่ปุ่น กล่าวที่ฐานทัพกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดิน (จีเอสดีเอฟ) โดยแสดงท่าทีกังวลถึงพัฒนาการเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธที่รวดเร็วของเกาหลีเหนือ และการขยายกองทัพของจีนในพื้นที่พิพาททางทะเล ทำให้รัฐบาลต้องทบทวนทั้งนโยบายด้านความมั่นคงและนโยบายการต่างประเทศ ซึ่งทุกหนทางล้วนมีความเป็นไปได้ที่รวมถึงแนวคิดที่จะให้กองกำลังป้องกันตนเอง (เอสดีเอฟ) มีศักยภาพในการโจมตีฐานที่มั่นของฝ่ายตรงข้าม แม้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะเอสดีเอฟมีข้อเข้มงวดในการใช้กำลังภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 9 ที่ห้ามพฤติการณ์แห่งสงครามขณะที่แหล่งข่าวทางการทูตเผยว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ พูดระหว่างต่อสายคุยกับนายคิชิดะเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ด้วยความหวังว่าญี่ปุ่นจะเพิ่มงบประมาณกลาโหม แต่ไม่ได้ระบุถึงตัวเลขที่แน่ชัดเพียงคาดว่าอาจเป็นประเด็นที่สองผู้นำจะนำมาถกสำหรับการประชุมครั้งหน้า และระหว่างการประชุมด้านความมั่นคงที่จะมีทั้งรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศของสองประเทศเข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ งบประมาณกลาโหมประจำปีของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นด้วยภัยคุกคามทั้งจีนและเกาหลีเหนือจนเกิน 5 ล้านล้านเยน หรือกว่า1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงสุดนับแต่งบประมาณปี 2559.