วุฒิสภาสหรัฐฯลงมติด้วยคะแนน 56-44 เสียง ในวันที่ 9 ก.พ.ให้ดำเนินการพิจารณาคดีถอดถอนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดการจลาจล โดยปฏิเสธข้อโต้แย้งของทนายฝ่ายจำเลยที่ว่าทรัมป์ไม่อาจถูกไต่สวนได้หลังจากพ้นวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อ 20 ม.ค.ในการตัดสินความผิดของทรัมป์ต้องการเสียงข้างมาก 2 ใน 3 จากจำนวน ส.ว.ทั้งหมด 100 คน ในวุฒิสภา แต่มีวุฒิสมาชิกจากรีพับลิกันเพียง 6 คนที่ลงคะแนนเสียงเห็นชอบให้มีการพิจารณาคดี ซึ่งยังห่างจากจำนวน ส.ว.รีพับลิกันที่ต้องการอย่างน้อย 17 เสียงในการลงมติเอาผิดทรัมป์ ชี้ให้เห็นว่าสมาชิกรีพับลิกันยังมีความภักดีต่อทรัมป์ มีโอกาสน้อยที่จะถูกตัดสินว่ามีความผิดตามข้อกล่าวหา เดโมแครตหวังว่าการถอดถอนครั้งนี้จะตัดสิทธิทรัมป์จากการดำรงตำแหน่งในอนาคต ซึ่งทรัมป์เคยกล่าวว่ามีแผนจะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2567การพิจารณาคดีเริ่มด้วยการฉายวิดีโอภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในอาคารรัฐสภา สหรัฐฯเมื่อวันที่ 6 ม.ค. เพื่อขัดขวางการรับรองให้นายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ พร้อมคลิปการปราศรัยของทรัมป์ต่อกลุ่มผู้สนับสนุนกระตุ้นให้สู้อย่างเต็มที่ให้ทำทุกวิถีทางเพื่อคว่ำผลการเลือกตั้ง ย้ำให้วุฒิสมาชิกซึ่งทำหน้าที่เป็นคณะลูกขุนเห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น รวมถึงคลิปวิดีโอช่วงที่ตำรวจนอกเครื่องแบบยิงเข้าที่อกของแอชลี แบบบิตต์ หนึ่งในผู้สนับสนุนที่พยายามบุกเข้าไปภายในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเป็น 1 ใน 5 คนรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าว หลังจบวิดีโอ เจมี ราสกิน ส.ส. เดโมแครต จากรัฐแมรีแลนด์ หัวหน้าคณะผู้ดำเนินการถอดถอน กล่าวว่า หากสิ่งที่เห็นนั่นไม่ใช่ความผิดที่นำไปสู่การฟ้องร้องได้ ก็คงไม่มีอะไรที่จะทำได้อีกแล้วด้านทนายของทรัมป์โจมตีกระบวนการถอดถอนโดยอ้างว่าเป็นความพยายามที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและต้องการที่จะปิดอนาคตทางการเมืองของทรัมป์แม้ว่าจะหมดวาระแล้วก็ตาม และยังกล่าวว่าทรัมป์ใช้สิทธิในการพูดโดยเสรีภายใต้รัฐธรรมนูญ ขณะที่ทนายความอีกคนกล่าวว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นควรจะถูกประณามอย่างรุนแรงที่สุด แต่ทรัมป์ไม่ใช่ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐฯที่ถูกฟ้องถอดถอนและเป็นคนเดียวที่ถูกฟ้องร้องถึง 2 ครั้ง และเป็นคนเดียวที่เข้าสู่กระบวนการหลังพ้นตำแหน่ง หลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯมีมติด้วยคะแนนเสียง 232-197 ถอดถอนทรัมป์ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีการพิจารณาคดีฟ้องร้องหลังจากประธานาธิบดีพ้นจากตำแหน่ง.