ระหว่างที่โลกกำลังวุ่นวายกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสมรณะ ก็ได้เกิดเหตุปะทะที่เกือบจะลุกลามถึงขั้น “สงครามระหว่างประเทศ” ในซีเรียโดยเป็นศึกช่วงต้นเดือน มี.ค. ระหว่างกองทัพรัฐบาลซีเรียกับกองทัพตุรกี ในพื้นที่จังหวัดอิดลิบ ทางภาคเหนือ ที่โรมรันกันทั้งทางบกและอากาศ ทหาร ตุรกีถูกทิ้งระเบิดโจมตีเสียชีวิตกว่า 60 นาย ส่วนฝ่ายซีเรียแม้ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่มีรายงานอ้างว่ายุทโธปกรณ์ถูกทำลายวินาศสิ้น ไม่ว่ารถถัง ยานเกราะ เครื่องบินรบ ขณะที่ทหารและนักรบที่สนับสนุนรัฐบาลซีเรียก็เสียชีวิต 21 คน หรืออาจถึงหลักร้อยคนกลายเป็นวิกฤติทางมนุษยธรรมที่วนเวียนเข้ามาไม่รู้จบ ข้อมูลของสำนักข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่าชาวบ้านนับล้านคนในจังหวัดอิดลิบมีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ในอันตราย ซ้ำร้ายยอดคนพลัดถิ่นก็พุ่งไปกว่า 950,000 คน และกำลังต้องการความช่วยเหลือเงินบริจาคอย่างเร่งด่วนอย่างไรก็ตาม หากดูจากสถานการณ์ตั้งแต่เริ่ม จะทราบว่าจังหวัดอิดลิบในซีเรียถือเป็นจุดที่พร้อมจะปะทุความรุนแรงอยู่ทุกเมื่อ เนื่องจากเป็นฐานที่มั่นที่ฝ่ายกบฏต่อต้านรัฐบาลยึดครองมายาวนานตั้งแต่ปี 2554 และหนึ่งในผู้ร่วมมือคือกลุ่มนักรบเชื้อสายเติร์ก ที่รัฐบาลตุรกีให้การสนับสนุนอย่างลับๆ กระนั้นเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา กองทัพตุรกีได้เปิดหน้าไพ่กันโต้งๆ ด้วยการ ส่งกำลังบุกเข้าไปคุมเชิงในภาคเหนือของซีเรียแน่นอนว่างานนี้ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยซีเรียของรัฐบาลบาชาร์ อัล อัสซาด ที่มีรัสเซียเป็นพี่ใหญ่หนุนหลัง แต่เอาเข้าจริงรัสเซียก็ไว้เชิงไม่ออกตัวแรง เนื่องจากตุรกีกำลังจะเป็น “ลูกค้ารายใหญ่” ทิ้งอาวุธค่ายอเมริกันเปลี่ยนมาใช้ของรัสเซีย ทั้งขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน S-400 และเครื่องบินรบอเนกประสงค์ซูคอยเรื่องราวจึงลงเอยด้วยการเจรจาหยุดยิงรอบใหม่ หลัง เรเซป ทายยิป เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี บินเจรจากับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่กรุงมอสโกด้วยตัวเอง และทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดลาดตระเวนร่วมเพื่อรักษาความสงบ แต่ก็ไม่วายยังสร้างความได้เปรียบให้คนในสังกัด...กองทัพซีเรียไม่จำเป็นต้องถอนกำลังจากพื้นที่ที่ยึดคืนมาได้ ในระหว่างการปะทะกับกองทัพตุรกีและกบฏซีเรียแต่สุดท้ายเชื่อได้ว่าข้อตกลงครั้งนี้ เป็นเพียงการพักหายใจชั่วคราว เพื่อรอจังหวะนองเลือดกันต่อ เพราะผู้นำซีเรียเคยลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะทวงคืนผืนแผ่นดินทุกตารางนิ้วที่ถูกศัตรูช่วงชิงไป.ตุ๊ ปากเกร็ด