คนตกงานกันเป็นเบือ ไม่ว่าจะอยู่ในธุรกิจขาขึ้นขาลง เพราะโดนเทคโนโลยีป่วนโลก ทำเอาระส่ำกันไปทุกอุตสาหกรรม การเลย์ออฟพนักงาน ยื่นข้อเสนอให้เออร์ลี่รีไทร์ กำลังกลับมาหลอกหลอนพวกเราอีกครั้ง ถ้าไม่อยากถูก “จิ้ม” ออก จะเกาะเก้าอี้ไว้ให้แน่นต้องทำยังไง“จงเป็นคนฉลาดที่บริษัทขาดไม่ได้” พูดง่ายแต่ทำยากไหมล่ะ ต้องฉลาดเบอร์ไหน เป็นพนักงานเกรดเอขนาดไหน ถึงกล้าพูดว่าบริษัทจะขาดเราไม่ได้!! ที่ปรึกษาการลงทุน สถาบันการเงินระดับนานาชาติของญี่ปุ่น “คิม มูกี” ซึ่งผันตัวมาเป็นนักเขียนหนังสือธุรกิจขายดีติดเบสต์เซลเลอร์ ถอดบทเรียนจากการทำงานกับผู้บริหารระดับหัวกะทิของโลกมากมาย จนได้เคล็ดวิชาก้าวกระโดดจาก “คนทำงานเกรดบี” สู่การเป็น “คนทำงานเกรดเอ” ซึ่งบริษัทไหนๆก็ต้องการตัวถ้ายังคิดจะอยู่ในวังวนของการเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่มีหัวทำธุรกิจ การปรับปรุงตัวเองให้เป็น “คนทำงานเกรดเอ” ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะในยามวิกฤติ ที่ไม่รู้ เมื่อไหร่จะโดนจิ้มออก!! กุญแจสำคัญที่คิมพูดถึงคือ “การพัฒนา IQ การทำงาน” ซึ่งทุกคนสามารถฝึกฝนและสร้างขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในระดับรากหญ้า หรือผู้บริหารสูงสุดหัวใจสำคัญที่สุดของการสร้างไอคิวการทำงานคือ “ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะพื้นๆที่เราคุ้นเคย” ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ควรหมั่นเช็ดถูแก้วให้ใสสะอาดเป็นประกายเสมอ สิ่งที่ต้องทำในชีวิตประจำวัน เช่น การเขียนอีเมล, การจดโน้ต, การจัดทำเอกสาร, การประชุม, การพรีเซนต์งาน และการจัดระเบียบโต๊ะทำงาน ล้วนสะท้อนถึงความรับผิดชอบ, ความพิถีพิถัน และความเอาใจใส่มากน้อยในการทำงาน “คิม มูกี” ย้ำว่า ประสิทธิภาพการทำงานจะวัดได้จากสภาพโต๊ะทำงานและกระเป๋าถือที่รกรุงรัง แวบเดียวที่เห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์และโต๊ะทำงานของใครสักคน ก็จะบอกได้ทันทีว่าหมอนี่เป็นพนักงานเกรดไหน “คนทำงานเกรดบี” มักจงใจสร้างความยุ่งเหยิงที่ตนเองเท่านั้นที่รู้ เพื่อปิดบังความไม่เอาไหน“การสร้างวินัยให้ตนเอง” เป็นกุญแจสำคัญสู่ความเป็นมืออาชีพชั้นหนึ่ง ในขณะที่พนักงานระดับพื้นๆ ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามความพึงพอใจ โดยเน้นแต่ความสุขของตัวเองเป็นหลัก คนทำงานระดับหัวกะทิกลับไม่ยอมหยุดนิ่งที่จะบริหารจัดการตนเอง ไล่ตั้งแต่การบริหารเวลา รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง และเที่ยงตรงเรื่องเวลา, การดูแลภาพลักษณ์ภายนอก, การใส่ใจสุขภาพ, การจัดการกับความเครียด และการพัฒนาตนเองไม่หยุด หมั่นขวนขวายหาวิชาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมออย่าลืมว่าต่อให้ฉลาดแค่ไหน แต่คนเราก็มีเวลาเท่ากันหมดทุกคน “ทักษะการจัดสรรเวลาให้เป็น” จึงเป็นสิ่งชี้วัดชะตาในการแข่งขัน อย่าหมดเวลาไปกับ “งานลวง” ที่แสนสบาย ทำตัวยุ่งวุ่นวายกับเรื่องไร้สาระ ส่วนงานจริงกลับกองสุมทับถมเป็นภูเขาไม่ยอมเคลียร์เหนืออื่นใดแล้วถ้าอยากเป็นคนทำงานระดับแถวหน้าที่บริษัทขาดไม่ได้ “การทำงานเกินความคาดหวัง” คือความลับสวรรค์อย่างแท้จริง ลองถามตัวเองว่าทุกวันนี้เราทำงานเกินเงินเดือน ที่ได้รับหรือไม่...เราทำงานเกินหน้าที่ที่รับผิดชอบหรือไม่...เราได้สร้างความเปลี่ยนแปลงดีๆอะไรให้องค์กรหรือไม่อย่าทำตัวเป็นของตาย หรืออะไหล่โหลๆ ที่ใครนึกจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้.มิสแซฟไฟร์