ความท้าทายใหม่ๆเกิดขึ้นกับบทบาทที่ฉีกคาแรกเตอร์ที่สุดจนแทบจำตัวเองไม่ได้ สำหรับ เฌอปราง อารีย์กุล ศิลปิน-นักแสดง ที่รับบทเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง “พนอ” ค่ายไฟว์สตาร์ฯ กับเรื่องราวความสยองขวัญทางไสยศาสตร์ ที่กำลังเข้าฉาย 16 มกราคม ในโรงภาพยนตร์ เริ่มจากเล่าถึงตัวละครพนอให้ฟังหน่อย?“ตัวละครนี้เป็นตัวละครที่เด็กคนนึงเกิดมาในวันปล่อยของของทางไสยศาสตร์ คือวันที่คนโละของทิ้งคือวันไม่ดี ก็มีความเชื่อว่าเด็กคนนี้เกิดมาในวันที่ไม่โอเค ไม่เหมาะสม เป็นคนโชคร้าย แม่ก็ไม่ได้ต้องการอะไรขนาดนั้น แล้วความน่าสนใจในตัวพนอจริงๆ ก็คือเป็นการตีความของครูพนอในลองของใหม่ ว่าทำไมครูพนอในเวอร์ชันนั้นถึงมีของ จริงๆคือเป็นภาคศูนย์ เป็นภาคปฐมบท ความน่าสนใจก็จะเป็นตรงนี้ ว่าทำไมเค้าถึงมีของ เค้าเกิดมาในวันโชคร้ายขนาดนั้น วันไม่ดีขนาดนั้น เค้ามีของหรือเปล่า แล้วเค้ากลายไปเป็นคนที่มีความโหดร้ายขนาดนั้นได้ยังไง”ถ้าให้นึกภาพก็คือเป็นเด็กที่เกิดมาคนหนึ่งที่ไม่รู้อะไรแต่ทุกคนเกลียดชัง?“จริงๆเขาก็ไม่ได้ทําร้ายใครโดยไร้เหตุผล ก็ต้องไปดูเหตุผลในเรื่องว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ เพราะว่ามันเยอะมากเรื่องที่เขาเจอคือถ้าเฌอเจอแบบเขาคือตายไปแล้ว ไม่อยู่หรอก แล้วก็ตอนที่ไปแคสต์สิ่งหนึ่งที่รู้สึกสนุกเพื่อนก็บอกตอนไปแคสต์ผู้จัดการก็บอกว่าบทนี้ถ้าแกได้อะมันคือตำนานเมืองไทยเลยนะลองของพนอเนี่ย มันคือบทที่ทุกคนต้องคาดหวังแน่ๆ เฌอก็แบบ เหรออะ ก็ลองดู แต่ในใจคือแค่ได้ลองแคสต์ก็สนุกแล้ว เพราะว่าหนูได้ไปอยู่ในโลกของการทําสิ่งที่ผิด ซึ่งในชีวิตเราไม่มีทางทำ แต่ว่าได้ไปลองในมุมของการแสดงก็เป็นจุดเดียวแหละที่สิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นได้เราอินเข้าไปได้ เราดิ่งไปกับมันได้ ซึ่งสนุกกว่าที่คิด รู้สึกว่าด้านมืดในจิตใจเรามันก็รอการปลดปล่อยอยู่เหมือนกัน เราไม่เคยระบายอะไรแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกว่าฉันทำได้ ฉันมีสิทธิ์ทำ”เรื่องนี้น่าดูยังไง?“พี่ตั้มผู้กำกับบอกมีคอนเซปต์เหมือนกับลองของ 1-2 คือเสียวสยองทุก 2 นาที (ยิ้ม)”เรื่องนี้มันมีความเครียด มีความกดดันอะไรมั้ย?“จริงๆก็ต้องยอมรับว่ากังวลแต่ว่าเวลาไปหน้าเซตมันจะมีแค่ผู้กำกับทีมงานคนทำงานด้วยกัน แค่เค้าเลือกเรามาก็รู้สึกว่าเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ผลงานที่ออกมาคนดูก็จะบอกว่าชอบผลงานหรือไม่ชอบ คือมันเป็นเรื่องที่เราคุมไม่ได้ เราจะคุมได้มากที่สุดก็ตอนที่เรากำลังทำผลงานในวันกองถ่ายจริงๆ แต่ว่าในวันกองถ่ายก็ถือว่าหนูทำสุดมาก ก็คุยกับผู้กำกับว่าอยากได้อะไร จะไปสุดกว่านี้มั้ย ลดลงมากน้อยปรับกันให้ดีที่สุด แล้วหนูไม่เคยดิ่งหรืออารมณ์เยอะขนาดนี้มาก่อน” เรื่องนี้มีหลายที่สุดของเฌอปรางมั้ย?“หลายที่สุดมาก ดิ่งที่สุด เมกโอเวอร์ที่สุด ไร้สติที่สุด ไม่ค่อยได้ดูหน้ามอนิเตอร์เลย อย่างที่บอกวันในกองคือวันที่เราทำได้ที่สุดบางทีหนูรู้สึกว่าถ้าผู้กำกับโอเคแล้ว พี่ตั้มโอเคแล้ว มันก็คือโอเค เพราะว่าเค้าได้ภาพได้อารมณ์ที่ต้องการแล้ว แต่ถ้ายังไม่ พี่ตั้มก็จะบอกเอง ถามว่ากดดันมั้ย ก็คือกดดันในฐานะที่เป็นเฌอ แต่ตอนที่อยู่ในกองในฐานะพนออะ ไม่กดดัน! เพราะว่าหนูโฟกัสแค่ตรงนั้นค่อนข้างมากจริงๆ มากจนตกใจกับตัวเองว่าเราสามารถทิ้งทุกอย่างแล้วอยู่ตรงนั้นขนาดนั้นได้ยังไง”แล้วจริงๆมันคือบทบาทที่ฉีกที่สุดเลยมั้ย?“ใช่ถือว่าฉีกที่สุด เฌอยังจำตัวเองไม่ได้เลยแค่ทีเซอร์ยังคิดว่าทำหน้าแบบนั้นไปด้วยเหรอ มันดูจิตมากๆ”ฟีดแบ็กเป็นยังไง พอเค้าเห็นโหมดจิตของเรา?“ดีใจที่คนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่แค่แฟนๆรู้สึกว่าเอ๊ย! มีคำชมที่ดี เล่นถึง เล่นเข้า”จริงๆก็เห็นตัวเองตอนเมกโอเวอร์มาแล้ว?“จำไม่ได้หนูยังแบบใครวะเนี่ย”เราดูเป็นคนไม่ห่วงสวยเลย?“ใช่ ไม่ห่วงสวย จะพาให้เป็นอะไรก็ได้? ได้เลย ไปหมด” ด้วยความที่เรื่องลองของเขาเป็นตำนานไปแล้ว รู้สึกยังไงลุ้นมั้ยกับความสำเร็จ?“ลุ้นๆ ค่อนข้างถือว่าผลตอบรับดีมากในวันที่ปล่อยทีเซอร์ออกไป ความสนใจของคนเยอะกว่าที่เราคิดมากๆ เพราะตัวเนื้อเรื่องมันมีความน่าสนใจมากกว่าแค่ความสยอง เนื้อเรื่องมันน่าสนใจในระดับนึงเลย นอกจากเป็นหนังแก้แค้น เป็นหนังสยอง ตัวเนื้อเรื่องตัวละครแต่ละตัวมีแบ็กกราวด์ที่แน่นมากๆ มันก็จะค่อยๆเฉลยในเรื่อง ฝากไปรับชมว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็หวังว่าจะนำเสนอตัวพนอที่ยังไม่เป็นครูพนอได้ตรงความ ต้องการของผู้กำกับแล้วก็ความต้องการของผู้คนที่มาดูสิ่งที่ทีมงานทุกคนลงมือกับการสร้างผลงานนี้ขึ้นไปโดยมีเฌอเป็นตัวถ่ายทอดเรื่องราว ก็ถ้ามันทำได้ดีมีคนอิน มีคนชื่นชอบก็จะเป็นความสุขของเฌอนะ”.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่