ไม่ทิ้งโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามา มิ้นท์-รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร นางเอกสาวหน้าหวานมาก ดีกรีอดีตนักแบดเยาวชนแห่งชาติ ชิมลางเล่นภาพยนตร์เรื่องแรกเจองานยาก เป็นแนวคอมเมดี้-แอ็กชัน “ไชน่าทาวน์ ชะช่า” ผลงานกำกับโดย จตุรงค์ พลบูรณ์ กับภารกิจพลิกชะตาย้อนเวลาล้างซวย ยิ่งเจอนักแสดงรุ่นพี่ขยันปล่อยความฮาวายป่วง ทุ่มเทสุดความสามารถถึงขั้นไม่ห่วงสวยใดๆ พร้อมอัปเดตชีวิตกลายเป็น “นักแสดง” เต็มตัว ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดี เป็นตัวอย่างให้น้องๆที่ยกให้เป็นไอดอล ส่วนสถานะหัวใจว่างสนิท ขอโฟกัส “งาน” ก่อน ใน “คนดังนั่งคุย”ที่มิ้นท์ตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้เพราะอะไร“เป็นบทที่ไม่เคยเล่นมาก่อน เป็นคาแรกเตอร์ฉีกมากๆ เป็นหนังบู๊ตลกด้วย ในใจอยากมีผลงานแนวนี้อยู่แล้วด้วย”ปกติพื้นฐานคิวบู๊สกิลเป็นยังไงบ้าง “จริงๆไม่มีเลย แต่มีพื้นฐานจากกีฬามาบ้าง เคยเรียนมวยมาบ้างแต่พื้นฐาน บู๊ไม่มีเลยค่ะ”กับ 2 คาแรกเตอร์ในเรื่องนี้ ทั้งบทกี้และจิงจูเป็นยังไงบ้าง “สนุกดีค่ะ ตัวละครกี้ในยุคปัจจุบันจะมีความ โก๊ะๆ ฮาๆตลกๆ รั่วๆ มีความเป็น เด็กสมัยใหม่คิดอะไรก็พูด จะห้าวๆ แต่ตัวละครอีกตัวนึง จะเป็นตั่วเจ้ หัวหน้าพรรคจะมีความโต ความดุขึ้นมาหน่อย”บทไหนเล่นยากกว่ากัน “จริงๆ ส่วนตัวว่ากี้เล่นยากเพราะเอเนอร์จีเยอะ คิดอะไรก็ทำเลย กี้จะมีความอะเลิร์ตมากๆ ต้องใช้พลังในซีนเยอะ ด้วยเป็นคอมเมดี้ด้วย แล้วเจอลุงรงค์ด้วย มิ้นท์ไม่เคยเล่นหนังคอมเมดี้มาก่อน จังหวะตลกต้องคมแต่หนูยังหาจังหวะไม่ได้ก็เลยยากค่ะ ได้อ่านบททั้งเรื่องก็รู้สึกมันฉีกจากทุกเรื่องที่เคยเล่นมา ปกติจะได้รับดราม่า คอมเมดี้นิดๆ แต่เรื่องนี้บู๊กับคอมเมดี้นำเลย ก็ต้องทำการบ้านเยอะ เวิร์กช็อปด้วย ตัวกี้จะเป็นคาแรกเตอร์ไม่เคยเล่นมาก่อน ต้องพูดโผงผาง อีกตัว จิงจู เป็นตั่วเจ้ หัวหน้าพรรค ต้องเล่นเป็นผู้นำ ดุดันจริงจังมากขึ้น ตัวกี้จะมีช่วงนึงที่จะต้องเข้าไปอยู่ในร่างพี่มาร์ช (อาคุ้ง) คือตัวกี้จะย้อนเวลากลับไปในอดีต ช่วงอากง อาม่า แล้วตัวกี้จะต้องอยู่ในร่างพี่มาร์ช ตัวหนูกับพี่มาร์ชต้องเวิร์กช็อปด้วยกัน เล่นยังไงให้ไปในเวย์เดียวกัน เป็นกี้ที่อยู่ในร่างของอาคุ้ง” พอเป็นบทต้องเลียนแบบคาแรกเตอร์พี่มาร์ช เป็นยังไงบ้าง“ยากเหมือนกันค่ะเพราะว่าหนูต้องเล่นเป็นตัวเองครึ่งนึง เป็นพี่มาร์ชครึ่งนึง รวมกันแล้วเป็นคนคนเดียวกัน พี่มาร์ชทำได้ดีมากๆ เป็นผู้หญิงในร่างผู้ชาย ตอนเล่นเป็นตัวกี้ หนูว่าไม่ได้มีความชมดชม้อยเท่าตอนที่พี่มาร์ชเล่น พี่เค้าเพิ่มความจริตเยอะไปกว่าเดิมแต่ออกมาน่ารักดีค่ะ”จังหวะตลกหนักอกหนักใจขนาดไหน “ทีแรกคิดว่ามันไม่ได้ยาก พอเล่นจริงๆ จังหวะไม่เหมือนที่เคยเล่นมา ต้องคม เพิ่มคำเข้าไปจังหวะก็ไม่คมแล้วก็ยาก และจริงๆ เป็นคนเส้นตื้นด้วยค่ะ พอเวลาที่ต้องเข้ากับพี่มาร์ช-จุฑาวุฒิ, พี่อาเล็ก-ธีรเดช เข้ากับพี่ๆนักแสดงรุ่นใหญ่ทุกคนตลกๆ หลุดบ่อยเหมือนกัน สนุก ยากแต่ท้าทายมากๆ แถมรับมือกับนักแสดงตลกระดับตัวตึงทั้งนั้น”ขนาดพี่รงค์ ผู้กำกับไม่ธรรมดา “ใช่ค่ะ ต้องคอยฮึบ! เอาใหม่ๆ ยิ่งเวลามีพี่ๆรุ่นใหญ่ อย่างพี่ธงธง พี่โก๊ะตี๋ มีซีนที่ทุกคน จริงจังแต่หนูหลุดอยู่คนเดียว แต่ละคนไม่ต้องทำอะไรแค่หน้านิ่งก็ขำแล้ว”กองนี้มิ้นท์แทบจะเป็นผู้หญิงคนเดียว ในหมู่มวล หนุ่มๆ ดูแลเราดีมั้ย “ใช่ค่ะ เรื่องนี้แทบไม่มีผู้หญิงเลย ถามว่าพี่ๆคอยดูแลมั้ย จริงๆออกแนวโดนแกล้งมากกว่า เห็นนั่งเงียบๆก็เล่นงานแล้ว เวลาหนูกินข้าวกับคุณแม่ก็จะแซวไม่มากินกับพี่ๆเลย เวลาเล่นซีนบู๊หรือตลกเขาจะแกล้งให้หนูหลุดค่ะ เป็นหนังเรื่องแรกได้ทำอะไรเยอะ ทั้งปีนหลังคา ได้พูดคำหยาบ บู๊ก็เยอะ ถ่าย 3 วัน ตัดออกมานิดหน่อยแต่ภาพก็ออกมาสวย หนูบู๊เยอะมากหนำใจเลยค่ะ” จากในหนังมีย้อนเวลาไปแก้ไขเรื่องราวในอดีต แล้วถ้าเป็นตัวมิ้นท์เองล่ะ หากย้อนเวลาได้เราอยากทำอะไร“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงใช้ชีวิตให้เต็มที่ สนุกเหมือนที่เคยทำมา รู้สึกเต็มที่ที่สุดในแต่ละช่วงวัย คิดว่าย้อนวัยเป็นเด็กเป็นเฟรชชี่ ช่วงนั้นเรื่องแต่งตัวให้มากขึ้นเพราะตอนเด็กๆเป็นนักกีฬาในชีวิตประจำวัน ชุดนอน ชุดเที่ยวชุดเดียวกัน ใส่ชุดกีฬาอย่างเดียวเลยแต่ทุกวันนี้ดีขึ้นเริ่มแต่งตัวเป็นมากขึ้นเพราะอยู่ในวงการ ตอนนี้แต่งหน้าตัวเองได้แล้วค่ะ ช่วงแรกๆที่เข้าวงการพี่ๆที่ดูแลจะพูด มิ้นท์แต่งตัวหน่อย (หัวเราะ) ช่วงแรกก็ไม่เข้าใจทำไมต้องแต่งตัว เป็นคนชิลๆ เน้นสบายมากกว่าพอๆอยู่มาเรื่อยๆ ก็ต้องดูดีขึ้นบ้าง ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ” เพราะนางเอกค้ำคอพ่วงด้วยหรือเปล่าเลยต้องดูดี สวยไว้ก่อน ออกจากบ้านจะหน้าสดไม่ได้ “ก็ยังมีหน้าสดบ้างค่ะ (หัวเราะ) แต่ก็ดูแลตัวเองมากขึ้น ช่วงที่เป็นนักกีฬาจะเป็นเด็กแมนๆคนนึงไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่าไหร่ ไม่ทาครีม ไม่แต่งตัว พอโตขึ้นมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีด้วยได้ดูแลตัวเองมากขึ้น”แสดงว่าตอนนี้แม่อุ่นใจว่าได้ลูกสาวแล้ว “ใช่ค่ะ (หัวเราะ) คงอุ่นใจขึ้นและคุณแม่ก็ช่วยแต่งตัวให้ด้วยค่ะ”ปีนี้ถือปีทองเพราะงาน มีละครเข้ามาตลอดเลย“เป็นโอกาสที่ดีเหมือนกัน ปีที่แล้วเร่งถ่าย เหมือนกัน ที่รอฉายดุจอัปสรในซีรีส์ดวงใจเทวพรหม เล่นคู่กับกองทัพ พีค เป็นดราม่าหนักมากแต่ก็มีความคอมเมดี้น่ารักๆ สนุกๆ เป็นอีกเรื่องที่หนัก เหมือนกัน แต่ก็มีซีนโรแมนติกน่ารักๆก็มีเยอะเหมือนกัน” ช่วงนี้ทำงาน 7 วันมั้ย “เกือบค่ะ คิวละคร 2 เรื่อง 7 วันแต่ก็ไม่ได้มีทุกวัน มีพักบ้าง”การทำงานช่วงนี้ถือว่าหนักหน่วงขนาดไหน มีเวลาให้ตัวเองมั้ย “ก็พอมีบ้างค่ะ บางวันก็ได้หยุด อีกเรื่องใกล้ปิดกล้องแล้ว พอหายใจหายคอได้อยู่บ้าง ช่วงไหนคิวเต็มๆ 7 วันต้องบูตส์ตัวเองเยอะหน่อย ช่วงไหนพัก ว่าง ก็ต้องนอน กินวิตามิน”เวลาทำงานหนักๆ พอถึงเวลาพักขอนอนตุนอย่างเดียวไม่ทำอย่างอื่น “มีค่ะ มีช่วงนึงถ่ายละครดุจอัปสรนี่แหละ มันต่อกันมากๆกับกลเกมรักช่วงนั้นแทบไม่ได้นอนเพราะโลเกชันที่ถ่ายไกลจากบ้านด้วย ไปตั้งแต่ 6 โมงเช้า เลิกกอง 4 ทุ่ม กว่าจะถึงบ้าน 5 ทุ่ม แล้วเป็นคนผมยาว ต้องสระผม ไดร์ผม กว่าจะได้นอน ชีวิตรันแบบนี้เป็นอาทิตย์ -2 อาทิตย์ มีวันนึงกลับบ้านมายังไม่ได้ล้างหน้า ยังไม่ได้อาบน้ำ อยู่บนโซฟาก็หลับไปเลยค่ะ” ช่วงทำงานหนักๆ มีแอบท้อใจมั้ยทำไมเราต้องทำงานหนักขนาดนี้“มีบ้างค่ะ แต่พอเรามองย้อนกลับไป เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ มีงานมาเรื่อยๆก็สนุกกับมัน รู้สึกมีแรงขึ้นมา มีคนคอยซัพพอร์ต คุณพ่อคุณแม่และแฟนคลับ เหมือนรู้ว่าทำให้ใครก็มีแรงขึ้นมา”จากชีวิตนักกีฬาผันมาเป็นนางเอก การใช้ชีวิตคนละขั้วกันเลย “คนละขั้วจริงๆ ค่ะ ตอนเป็นนักกีฬาหนูรู้สึกว่าตอนนั้นก็หนัก ก็เหนื่อยมากๆ คงเหนื่อยที่สุดในชีวิตแล้ว ตอนนั้นอยู่ในโครงการ มันต้องซ้อมเช้า เที่ยง เย็น ดึก เป็นอะคาเดมี ตอนนั้นก็เป็นอาชีพเลย มันก็เหนื่อยมาก พอเข้ามาในวงการ เหนื่อยไปอีกแบบ เคยคิดในวงการจะเป็นยังไงนะ คงไม่ได้เหนื่อยเท่าเป็นนักกีฬา แต่พอมาทำแล้วมันเหนื่อยคนละแบบ เหมือนพักผ่อนน้อยแต่ต้องดูแลตัวเองให้ดูดีตลอดเวลาออกกล้อง” เป็นการใช้ชีวิตที่กดดันมั้ยในเรื่องอาหารการกินที่เราจะต้องควบคุม เสื้อผ้าหน้าผมก็ต้องดูดีตลอด “ช่วงแรกๆผันเปลี่ยนจากนักกีฬามาเป็นนักแสดง โดนสั่งลดน้ำหนัก เพราะช่วงเป็นนักกีฬาสั่งให้เพิ่มน้ำหนัก ช่วงนั้นเครียดเหมือนกัน ต้องคุมเยอะ ออกกำลังภายเยอะ ตอนนี้เหมือนเริ่มอยู่ตัวและทำงานหนัก คุมอาหารได้ พอทำงานก็ผอมไปเองค่ะ” ชีวิตกว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่ายเหมือนกันเนอะ“หนักทุกอย่างเลยค่ะ มาทำงานวงการเหมือนเป็นอีกโลกนึงไปเลย อย่างที่บอกหนูเป็นนักกีฬาจะไม่รู้เรื่องความสวยความงาม พอเข้ามาทำงานกับคนเยอะ เป็นอีกโลกนึงเจอคนใหม่ๆทุกวัน ทำให้เราโตขึ้น มีประสบการณ์หลายๆอย่างมากขึ้น มุมมองชีวิตกว้างขึ้น”ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะมั้ย “เปลี่ยนเยอะขึ้น โตขึ้น เวลาทำอะไรมีสติมากขึ้นต้องระวังตัวมากขึ้นเพราะอยู่ในวงการก็มีคนคอยจ้องตลอดไม่ว่าจะทำอะไรระวังตัว ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนด้วย พอมีคนชื่นชอบ มีเด็กๆน้องๆ ส่งข้อความ ส่งของขวัญแล้วบอกว่าเป็นไอดอลนะ ทำให้รู้สึกต้องทำตัวเองดีขึ้น ดูแลตัวเองให้มากขึ้น เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องๆด้วย”อัปเดตความรักบ้าง สถานะโสดหรือมีหนุ่มๆ เข้ามาคุยๆ“ตอนนี้มุ่งแต่ทำงานอย่าง เดียวเลยค่ะ มีแต่ครอบครัวและแฟนคลับที่รอผลงานอยู่ ตอนนี้คืองานเต็มที่” ถามจริงๆ มีคนเข้ามาจีบเรา หรือเพื่อนๆแนะนำใครมั้ย “ไม่ค่อยมีเพราะว่าจริงๆหนูเป็นคนไม่ค่อยเล่นแชตหรือคุยอะไรเท่าไหร่ อาจจะมีบ้างคุยกับคุณแม่แต่เป็นคนไม่ค่อยเล่นโซเชียล”แสดงว่าวัยนี้รักไม่ยุ่ง “ประมาณนั้นก็ได้ค่ะ เหมือนตอนนี้เราเองโฟกัสที่งาน เรามีโอกาสที่ทุกคนให้มา เราไม่ได้โฟกัสเรื่องนั้น” เกี่ยวกับที่บ้านหวงด้วยมั้ยทำให้ไม่อยากมีแฟน “นิดนึงค่ะ (หัวเราะ)”พ่อแม่ว่ายังไงบ้างเรื่องความรักให้มีแฟนได้ตอนไหน “ไม่ได้กำหนดอายุเท่าไหร่ คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ติดแค่อยากให้ดูให้ดี ให้เป็นคนดี ดูแลเราได้ก็พอ เข้าใจกัน”สเปกของมิ้นท์เองชอบผู้ชายแบบไหน “หนูชอบโตกว่า แต่จริงๆสเปกไม่ได้ตายตัวแล้วแต่คน แต่ต้องเป็นคนที่เห็นแล้วโอเค เข้ากันได้ เข้าใจกัน เป็นความสบายใจให้กัน คุยรู้สึกดี ปลอดภัย และเข้าใจกันได้ รักครอบครัว เป็นคนอ่อนโยนค่ะ” เคยดูเช็กเนื้อคู่มั้ยจะมาตอนไหนมั้ย “ไม่เคยดูค่ะ แต่มีคนเคยดูให้บอกว่าช่วงนี้มีแต่เรื่องงาน แต่เชื่อว่าเราทำงานไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็คงเจอคนที่ใช่ก็คือใช่ เชื่อในเรื่องพรหมลิขิต คงต้องมีบ้างแหละ”เป้าหมายชีวิตที่วางเอาไว้“เป้าหมายเหรอ อยากทำหน้าที่ทุกผลงานของตัวเองให้มันดีที่สุด อยากทำทุกโอกาสละคร การแสดงหรืองานใหม่ๆ แฟชั่น เป็นอีกโอกาสที่สนใจค่ะ”.เรื่อง: วรรณี ห่อวโนทยานอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่