ถึงไม่ใช่ลูกทุ่งพันธุ์แท้เหมือนกับ “แม่ผึ้ง” แต่ เพชร พุ่มพวง หรือ ภัควรรธน์ ลีละเมฆินทร์ ทายาทหัวแก้วหัวแหวนของอดีตราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ตั้งใจโชว์พลังสุดความพยายาม หลังจากได้รับโอกาสดีๆ ได้เป็น 1 ใน 16 ศิลปิน ร่วมรำลึกบนเวทีคอนเสิร์ต “25 ปี ดวงจันทร์...กลางดวงใจ พุ่มพวง ดวงจันทร์” จัดแสดงวันเสาร์ที่ 10 มิ.ย. 60 นี้ ที่เมืองไทย GMM Live House ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ งานนี้หนุ่มเพชรเปิดใจกับโอกาสดีๆ ในครั้งนี้ที่ได้รับเพราะเป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้ขึ้นคอนเสิร์ต “รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมากๆ ที่มีโอกาสได้ขึ้นเวทีพร้อมกับพี่ๆระดับสุดยอดของลูกทุ่งอย่าง พี่ฝน ธนสุนทร, พี่ตั๊กแตน, พี่ต่าย อรทัย, น้องเปาวลี อยากให้ทุกคนไปดู อาจจะมีโชว์หลายๆ อย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย”เพชรเตรียมตัวยังไงบ้าง “ส่วนของผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากแค่ดูแลตัวเองออกกำลังกาย ฝึกร้องเพลงให้เข้าปากตัวเองเพราะเพลงของแม่ผึ้งเป็นเพลงที่มีมนต์ขลังอยู่ การร้องเพลงแม่ผึ้งเคยบอกทางคุณพ่อ การร้องเพลงลูกทุ่งต้องให้ชัดถ้อยชัดคำ ร้องให้คนฟังนึกภาพออก รู้ว่าเรากำลังสื่ออะไรให้เค้าฟัง” เพชรค่อนข้างพะวงเกี่ยวกับการร้องเพลงแนวลูกทุ่ง “นิดนึง ลูกทุ่งแท้ๆ ผมยอมรับว่าผมทำได้ไม่ขนาดนั้น ความเป็นลูกเอื้อน ต้องเป็นคนที่ร้องตั้งแต่เด็กจริงๆ ตอนเด็กๆที่ผมอยู่กับแม่ผึ้ง แม่ผึ้งก็ไม่เคยให้ผมฟังเพลงลูกทุ่งนะ ตอนอยู่บ้านแม่ผึ้งให้ผมฟังเพลงร็อก แนวอื่นตลอด เปิดมาดอนน่าให้ฟัง มาฝึกเฉพาะเวลาขึ้นรถ สมัยก่อนเป็นเทปคาสเซ็ทจะต้องกรอแล้วกรออีก จะฟังของเค้า ฝึกเฉพาะเวลาออกเทป”เวทีนี้เพชรเจอศิลปินอาชีพหลายคน แอบกังวลอะไรเป็นพิเศษมั้ย “มันตื่นเต้นมากกว่ากังวล ตื่นเต้นได้ขึ้นเวทีที่ใหญ่มากๆ”เพลงที่ได้รับมอบหมาย “ผมบอกเค้าว่าผมอยากร้องเพลง โลกของผึ้ง รอดูว่าเพลงจะแบ่งท่อนยังไง งานนี้นอกจาก 16 ศิลปิน รวมถึงป๊าไกรสรและน้าโอ่ง-สลักจิต ดวงจันทร์ด้วย เป็นครอบครัวของแม่ผึ้งด้วย”ร้องเพลงนี้จะกลั้นน้ำตาอยู่เหรอ (ยิ้ม) “เรื่องนี้ต้องไปดู ป๊าเค้าจะมีเรื่องเล่า น้อยคนที่จะรู้”ป๊าไกรสรเริ่มเล่าเรื่องของแม่ให้เพชรฟัง “ครับ พอเราเริ่มโตขึ้นป๊าก็เริ่มเล่าให้เราฟังมากขึ้น ตอนเด็กๆป๊าเล่าผมอาจจะยังไม่เข้าใจไม่ค่อยฟังอยู่แล้ว พอโตขึ้นเราเริ่มเก็บรายละเอียด เมื่อก่อนหม่าม้าเป็นแบบนี้นะ การตรงต่อเวลา การทำงาน ออกงาน ร้องเพลง การฝึกของเค้า ป๊าจะเริ่มสอนแล้ว หม่าม้าเคยอยู่กับป๊า แล้วทำงานร่วมกันมา”ช่วงนี้จะเห็นป๊าไกรสรจะไปไหนมาไหนกับเพชรมากขึ้น “ใช่ครับ แต่ป๊าเค้าจะไปๆมาๆ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เพราะบ้านป๊าอยู่เชียงใหม่ แต่กรุงเทพฯผมก็จะอยู่คอนโดฯ ถ้าป๊ามากรุงเทพฯก็จะมาพักกับผม ป๊าจะไปๆกลับๆ”กลับมาคุยกันครั้งนี้ความรู้สึกระหว่างพ่อลูกเป็นอย่างไรบ้าง “ดีขึ้นเยอะเลย เหมือนที่หลายๆคนบอก ช่วงอายุของเราด้วยมั้ง พอเราเริ่มโตขึ้น เมื่อก่อนฮอร์โมนวัยว้าวุ่น มีช่วงนึงของวัยรุ่นทุกคนจะต่อต้านคุณพ่อคุณแม่ ยิ่งอายุ 16-17-18 กำลังเฮี้ยว พ่อแม่เตือนเพราะอาบน้ำร้อนมาก่อน เด็กๆยังไม่เคยเจอเลยดื้อ และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น พอเวลาผ่านไปผมเจอด้วยตัวเอง ผ่านมาหมดทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ป๊าได้เตือน คอยสอน เป็นเรื่องจริงหมดเลย เจอด้วยตัวเองก็เข้าใจแล้วแหละ”ตอนนี้ป๊าไกรสรมาเป็นผู้จัดการฯให้เพชรเหรอ “ใช่ครับ ป๊ามาเป็นผู้จัดการดูแลคิว รับงานให้ผมด้วย เป็นความรู้สึกดีๆ อย่างน้อยๆก็พ่อเราเนาะ เวลาได้ค่าตัวมา บางทีป๊าไม่เอาสักบาท แต่ผมอยากให้ป๊าเค้าไว้ใช้เหมือนกัน ป๊าไม่ได้หักเปอร์เซ็นต์ เค้าให้ผมทั้งหมดเลย แต่ผมอยากให้ป๊าเพราะป๊าต้องกินต้องใช้เหมือนกัน”เงินก้อนแรกที่แบ่งให้ป๊าไกรสร ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง “หลังจากกลับมาคืนดีกับป๊า ปลายปี 2557 ผมก็รู้สึกดีใจ เวลาผมไปไหนทุกวันนี้ป๊าพยายามเลี้ยงข้าวผมตลอดเหมือนตอนที่ผมเป็นเด็กๆ แต่ผมก็บอกป๊าว่าต่อไปนี้ไปไหนผมขออนุญาตจ่ายสตางค์แทนป๊านะ เพราะป๊าเลี้ยงดูผมตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว ตอนนี้ผมยังไม่ได้รวยมาก ยังไม่สามารถซัพพอร์ตได้ทุกสิ่งทุกอย่างแต่ผมพอมีรายได้บ้าง อยากช่วยเท่าที่พอช่วยได้ เรารู้สึกดี จริงๆผมอยู่กับป๊ามาตลอดเพราะหม่าม๊าเสียตอนผมอายุ 5 ขวบ เรียนเซนต์คาเบรียล พอจบ ม.6 ก็ไปเมืองนอกกับป๊าสองคน เรามีกันสองคน จะรัก ทะเลาะกันแต่ช่วงเวลาดีๆมันมีอยู่เยอะมาก ตอนที่ผมทะเลาะกับพ่อผมไม่ได้นึกถึงจุดๆนี้ไง”ถ้าหากย้อนเหตุการณ์นั้นไปได้เพชรอยากแก้ไขส่วนไหน “สิ่งที่ผมอยากแก้ไข น่าจะเรื่องทะเลาะกับป๊าตั้งแต่เริ่มวัยรุ่น สักอายุ 15 อยากเชื่อป๊าทุกเรื่องเพราะป๊าวางผมไว้ในหลายๆเรื่อง สิ่งที่ป๊ากำหนดให้เดินเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้นแหละ ผมแค่แอนตี้ป๊าไม่ยอมรับ สุดท้ายรู้ว่าสิ่งที่พ่อบอกพ่อสอนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”ช่วงมรสุมข่าวเยอะแยะเพชรมีกำลังใจจากไหนที่ทำให้เราผ่านเรื่องร้ายๆมาได้ “ขออนุญาตเล่าย้อนนิดนึง ตอนที่ผมมีปัญหาไม่มีความคิดจะกลับไปหาพ่ออีกเลย คราวนี้ผมพยายามสู้ด้วยตัวเอง พิสูจน์ตัวเอง ผมออกมา ไม่เด่นไม่ดัง ไม่หันหลังกลับไป (ร้องเพลงของแม่ผึ้ง) อารมณ์ประมาณนี้ พอเราออกมาปุ๊บเราพิสูจน์ตัวเอง เจอปัญหาหลายๆอย่าง ทำให้เรารู้สึกว่าถ้าผมอยู่กับพ่อในวันนั้น ผมอาจจะไม่เจออะไรวันนี้ เจอปัญหาทุกอย่างที่ผ่านมา แต่ถ้าผมอยู่กับพ่อในวันนั้นจนวันนี้ผมอาจจะยังไม่โตก็ได้ ยังไม่รู้วิธีแก้ปัญหาอย่างนี้ต้องทำยังไงนะ เราได้ทั้งข้อเสียแต่ข้อดีก็มีอยู่ ข้อเสียที่สุดในชีวิตที่ผมอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขที่สุด ไม่อยากทำให้พ่อเสียใจมากกว่า”คนจะมองจุดอ่อนของเพชรเป็นคนเชื่อคนง่ายแล้วตอนนี้การไว้เนื้อเชื่อใจ ทำให้เรามีกำแพงรึเปล่า “เชื่อใจคนมากกว่า โดยที่เราไม่ได้วิเคราะห์ผลเสียจะเป็นยังไง เราไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง สิ่งที่ผู้ใหญ่สอน ขนาดอาตี่-กริช ทอมมัสสอนเมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อแกเหมือนกัน คนหวังดีจริงๆเค้าจะพูดตรงๆ แบบนี้มันไม่ถูกนะ ไม่ดีจริงๆ บอกเหตุผลแล้วแต่เพราะเราเป็นเด็กก็เลยไม่เชื่อ”เห็นว่าทางผู้ใหญ่แกรมมี่ โกลด์ ให้โอกาสเพชรอีกครั้งในการเป็นศิลปิน“ต้องขอบคุณอาตี่-กริช ทอมมัส อีกครั้ง ด้วยความตอนนั้นผมเด็กมากๆ อาจจะดื้อกับพีอาร์และทีมงาน ตอนนั้นเหมือนเข้าใจในระบบแต่เราไม่พร้อมจะเข้าใจในระบบในตอนนั้น ทำให้เราอาจจะไม่พร้อมทำงานแต่ตอนนี้พร้อมทำงานกับทุกคนๆ”จริงจังทำงานขนาดไหน “ผมค้นพบตัวเองตอนที่ออกจากแกรมมี่โกลด์ ถามตัวเองเราชอบร้องเพลงจริงหรือเปล่า? แต่สิ่งที่ผมรู้ทุกวันนี้ผมขาดเสียงเพลงไม่ได้จริงๆ ผมชอบรักมากได้สื่อสารภาษาเพลงให้คนรู้สึกตามความรู้สึกที่ผมรู้สึก เคยคิดร้องเพลงเบื่อ สุดท้ายขาดไม่ได้”บางคนมองมาร้องเพลงเพราะเป็นลูกแม่ผึ้ง “ด้วยความที่แม่ผมปูทางมาไว้ก่อน ซึ่งผมอาจจะมีโอกาสที่ได้แต้มมากกว่า ต้องขอบคุณแม่ผึ้งและยอมรับตรงนี้แต่จะบอกว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว จริงๆพอเราได้นามสกุลดวงจันทร์มาใช้ปุ๊บ บางทีการคาดหวังของแฟนเพลงอย่างน้อยต้องเสียงคุณแม่ ผมพยายามบอก หนึ่งเราเป็นผู้ชายเสียงจะเหมือนแม่คงเป็นไปไม่ได้ สอง ตอนเด็กๆ แม่ผมไม่ได้ปลูกฝังให้ฟังลูกทุ่งตั้งแต่เด็ก โตมาผมร้องอย่างมาก ลูกทุ่งมากสุดจะเป็นลูกทุ่งร่วมสมัยแบบพี่ก๊อต-จักรพรรณ์ หรือทางอีสานแบบพี่พี สะเดิด หรือพี่ไผ่ พงศธร ก็ยังได้อยู่ ลูกทุ่งแท้เหมือนลุงเป้า-สายัณห์ สัญญา, น้ายอดรัก สลักใจ ผมก็ไม่ไหวจริงๆ”ความรักล่ะยังไงหลังๆเงียบกริบไม่เปิดตัว“ผมก็ไม่ได้ปิดนะ ผมก็มีคนคุยๆอยู่แต่ขออนุญาตไม่เปิดเผย ต้องมีกันบ้างแหละเพราะอายุขนาดนี้แล้ว ค่อยๆศึกษากันไป”คนในหรือคนนอกวงการมาดามใจ “เป็นคนในวงการนี่แหละ (ยิ้ม) ค่อยๆคุยกันไป ถึงเวลาเดี๋ยวค่อยว่ากัน ถ้าเป็นคนที่ใช่เดี๋ยวว่ากัน”คบกันคุยกันนานขนาดไหน “เพิ่งปีเดียวเอง”คนที่เราคุยนักแสดง นักร้อง “นักร้องครับ (ยิ้ม) ตอนนี้โอเคศึกษากันไปเรื่อยๆ” พออายุเริ่มเยอะความรักกลายเป็นเดินช้าๆ ผิดก่อนหน้าเป็นความรักแบบจู่โจมเชียว “จริงครับ ซึ่งผมเชื่อว่าวัยรุ่นทุกคนเป็นแหละ สมัยก่อนเรามองความรักเป็นอันดับหนึ่ง ความรักเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ความรักชนะทุกสิ่ง จริงๆความรักเป็นเรื่องดีแต่ทางสังคม พ่อแม่ ผู้ใหญ่เราต้องดูด้วย เราอยู่จุดๆไหน เราพร้อมมั้ย คนในวงการบันเทิงต้องระวังในเรื่องของการมีคู่ชีวิต ถ้าไม่แน่ใจอย่าเพิ่งเปิดตัว ถ้าเลิกกันไปมันก็ไม่ดีทั้งสองฝ่าย”ปิดบังทั้งสองฝ่ายเลยเหรอ “ไม่ปิดบังแต่เราไม่เปิดเผย คนนี้แฟนชั้นนะ ก็ เป็นคนใกล้ๆตัว แถวนี้ๆ ค่อยๆศึกษากันไป ป๊าก็เคยเจอแล้ว เค้าก็ชอบ เด็กๆใสๆ ยังเรียนไม่จบ (หัวเราะ) อายุก็ต่างกันพอสมควร 9 ปี แต่อายุไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความเข้าใจกันมากกว่า ความรักครั้งนี้ไป ช้าๆ และผมพยายามสอนน้องตลอด ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปต้องช่วยกันซัพพอร์ต ดูแลซึ่งกันและกัน ช่วยกันทำมาหากิน รับผิดชอบ มองอนาคตให้มากขึ้นจะดีกว่า ไม่รีบ ค่อยๆไป”แง่การแต่งงานเริ่มคิด “ถามว่าผมคิดมั้ยยอมรับก็คิดไว้เหมือนกัน เราก็อยากแต่งงานเป็นตัวเป็นตนแต่เราทำงานอยู่ ยังไม่พร้อม สมมติเราแต่งงานไป เลิกกันไปผมว่าอายเค้านะ รอดูให้แน่ใจหลายปีก่อนดีกว่า”.