‘คนกทม.’ ยันเจอแผงวงจร ตัวหน่วงเวลาพยานยืนยันระเบิดป่วนเมือง หน้ากองสลากเก่า ถูกกวาดรวมกับขยะอื่นจากริมถนนฝั่งตรงข้าม ธ.ออมสินสำนักราชดำเนิน ใกล้แยกคอกวัว ก่อนจะระเบิดในถังขยะ ตำรวจชุดพิสูจน์เจอชิ้นส่วนแผงวงจร พบสามารถหน่วงเวลาระเบิดได้นานกว่า 1 วัน “ศรีวราห์” ยืนยันคดีนี้ไม่ตัน ชี้พฤติกรรมต้องการป่วนเมืองซ้ำลักษณะการประกอบเหมือนกับเหตุระเบิดปี 50 และ 53หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงสืบหาที่มาที่ไปของระเบิดป่วนเมือง ที่หน้ากองสลากเก่า ถนนราชดำเนินกลาง มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย โดยเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 7 เม.ย. พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.พิทักษ์ สุทธิกุล ผกก.สน.ชนะสงคราม พร้อมตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าเหตุระเบิดครั้งนี้ที่ สน.ชนะสงครามหลังการประชุมนานกว่า 2 ชม. พล.ต.ท.ศานิตย์เปิดเผยว่า เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จำเป็นต้องให้เวลากับตำรวจพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดก่อน ส่วนข้อสันนิษฐานเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการเมือง ขอให้ตำรวจทำงานพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงให้ได้ก่อน ถึงจะสามารถตอบคำถามได้ ขณะนี้ตำรวจทุกฝ่ายต่างเร่งทำงาน คาดภายในวันจันทร์ที่ 10 เม.ย.น่าจะมีความชัดเจนขึ้น แต่หากมีความคืบหน้าใดๆระหว่างนี้ก็จะดำเนินการทันที“สำหรับข้อมูลกรณีที่พนักงานเก็บขยะเป็นผู้เก็บถุงบรรจุระเบิดมาทิ้งในถังขยะตรงจุดเกิดเหตุ อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบและตรวจสอบกล้องวงจรปิด ผมขอเวลาให้ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆให้แน่ชัดอีกระยะหนึ่ง อยากให้ประชาชนมั่นใจความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากมีการระดมกำลังตำรวจรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ฝากประชาสัมพันธ์ประชาชนให้ช่วยเป็นหูเป็นตาด้วย” พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวมีรายงานว่า ชุดสืบสวนคลี่คลายคดี สอบปากคำ 1 ใน 2 ผู้บาดเจ็บ เป็นพนักงานกวาดถนน ลูกจ้างชั่วคราว ของสำนักงานเขตห้วยขวาง ทราบว่าก่อนเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วงเวียนอนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย ก่อนจะมาเจอถุงพลาสติกสีเขียวใกล้สี่แยกคอกวัวฝั่งตรงข้ามธนาคารออมสิน สำนักราชดำเนิน จึงกวาดรวมกับขยะอื่นๆก่อนนำไปทิ้งถังขยะจุดระเบิด หลังจากนั้นประมาณ 30 วินาทีจึงเกิดระเบิดขึ้น ทำให้พยานรายนี้ถูกแรงอัดระเบิดบาดเจ็บไปด้วย ตำรวจชุดสืบสวนอยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิดตั้งแต่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจนถึงจุดระเบิด เพื่อหาเบาะแสผู้ต้องสงสัยนำถุงพลาสติกบรรจุไปป์ บอมบ์ มาวาง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจพิสูจน์ระเบิดยังพบว่าระเบิดครั้งนี้เป็นแบบตั้งเวลาในส่วนประกอบของแผงวงจรมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “ไอซี ไทม์เมอร์” ลักษณะเป็นแผงวงจรสีดำ มีขาสเตนเลสยื่นออกมารอบตัวแผงวงจร มีหน้าที่หน่วงเวลาก่อนระเบิด ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างนำชิ้นส่วนแผงวงจรที่พบไปเปรียบเทียบเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระเบิดอื่นเพื่อหาเบาะแสสาวไปถึงกลุ่มผู้ก่อเหตุที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.กล่าวยืนยันว่าคดีนี้ไม่ตันแน่นอน มีประเด็นให้เร่งรัดดำเนินการต่อ ส่วนผู้ต้องสงสัยที่พบในกล้องวงจรปิดมีอยู่ 3 คน คาดเป็นเรื่องของผู้ไม่หวังดีต่อรัฐบาล ส่วนระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นระเบิดแรงต่ำ รัศมีทำลายล้าง 2 เมตร แสดงให้เห็นเจตนาชัดเจนต้องการแค่ก่อกวน ตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุ พบความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ปี 50 และ 53 ลักษณะการประกอบระเบิดเหมือนกันที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกล่าวถึงการตั้งข้อสังเกตการก่อเหตุไม่สงบที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนคล้ายกับเหตุการณ์ระเบิดที่หน้ากองสลากเก่า มีการเลือกวันก่อเหตุว่าต้องไปดูรายละเอียด เหตุระเบิดที่บริเวณถนนราชดำเนินเหมือนเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองเมื่อปี 50 และ 53 เฉพาะวิธีการเท่านั้น แต่คนทำยังไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง ส่วนกล้องวงจรปิดจับภาพคนร้ายได้นั้น ยอมรับว่าได้ภาพจริงแต่ยังไม่ชัดเจนมีหลายภาพและหลายคน ต้องตรวจสอบและหาความชัดเจนของข้อมูลต่อมาเวลา 19.20 น. พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด(กก.กตว.) บก.สปพ. พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เพื่อนำแบบจำลองการทำงานของวงจรระเบิด ที่บริเวณหน้ากองสลากเก่า ถนนราชดำเนิน มาอธิบายหลักการทำงานพ.ต.อ.กำธรระบุว่า ระเบิดดังกล่าวเป็นระเบิดแสวงเครื่อง ใช้ท่อพีวีซีบรรจุดินระเบิด 300 กรัม จุดระเบิดด้วยการตั้งเวลา ใช้ไอซีไทเมอร์ (IC Timer) เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งเวลาได้สูงสุดกว่า 24 ชม. อานุภาพไม่ร้ายแรง เนื่องจากใช้ดินระเบิดน้อย อุปกรณ์เหล่านี้หาซื้อได้ทั่วไป ส่วนเทคนิคการประกอบยากกว่าแผงวงจรที่ใช้โทรศัพท์มือถือหรือนาฬิกาปลุกจุดชนวน เนื่องจากผู้ประกอบระเบิดต้องมีความรู้ความชำนาญเฉพาะ อยู่ระหว่างนำแผงวงจรมาเปรียบเทียบกับเหตุที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้