นับแต่ป่าชายเลน จ.จันทบุรี “เสื่อมโทรมรุนแรง” น้ำเค็มรุกล้ำไปยังพื้นที่ทำการเกษตรจนไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกเกษตรกรรม และก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำที่อุดมสมบูรณ์ลดน้อยลงกระทั่งปี 2524 “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” เสด็จพระราชดำเนิน จ.จันทบุรี ด้วยทรงห่วงใยราษฎรในพื้นที่ประสบปัญหาเสื่อมโทรมก็มีพระราชดำรัสกับ “ผู้ว่าฯจันทบุรี” จัดทำโครงการพัฒนาอาชีพการประมงและการเกษตรในเขตพื้นที่ดินชายฝั่งทะเลของจังหวัดต่อมาได้จัดตั้ง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เพื่อศึกษาพัฒนาพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิต และการประกอบอาชีพ เน้นพัฒนาด้านการประมง และการเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งนำมาสู่การตั้งศูนย์ต้นแบบการศึกษา วิจัย และส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเลจนสามารถต่อยอดยกวิสาหกิจชุมชนจันทราบุรีเป็นต้นแบบการเลี้ยงสร้างรายได้นับล้านบาทต่อปี กลายเป็นพืชเศรษฐกิจดาวรุ่งมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต “ทีมข่าวสกู๊ป” รับเชิญจากสำนักงาน กปร.ภายใต้โครงการสื่อมวลชนสัญจรสืบสานพระราชดำริ ปี 2568 เยี่ยมชมผลสำเร็จการดำเนินงานศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯในการพัฒนาจากยอดเขาสู่ท้องทะเล เน้นการฟื้นฟูทรัพยากร และพัฒนาอาชีพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงทะเลให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ กัญญารัตน์ สุนทรา ผอ.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ เล่าว่า การเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเลนั้นน้อมนำแนวทางพระราชดำริ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง” เริ่มจากได้รับองค์ความรู้ที่ศูนย์ฟาร์มทะเลตัวอย่างฯ จ.เพชรบุรี ก่อนต่อยอดวิจัยเพาะเลี้ยงที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายกว่า 30 ชนิดครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์แปรรูป เกิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 6 ล้านบาท สร้างรายได้ให้กับชุมชน และสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชายฝั่งอย่างยั่งยืนเรื่องนี้ต้องอธิบายว่า “สาหร่ายผักกาดทะเล” ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสาหร่ายสีเขียวครอบครัว Ulvaceae สามารถรับประทานเป็นสลัด หรือซุป มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเหมาะสำหรับเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค “ยุคใหม่ที่รักสุขภาพ” เข้าเกณฑ์การพัฒนาเป็น future foodทำให้คนไทยเริ่มนิยมบริโภคจึงส่งเสริมการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์สู่ “เกษตรกร” หากดูประโยชน์ และคุณค่าทางอาหารสาหร่ายผักกาดทะเลจัดเป็นอาหารสุขภาพมีเถ้าปริมาณสูง 26-35% ซึ่งมาจากเกลือแร่หลายชนิด สำหรับแบบแห้ง 100 กรัม จะมีโปรตีนสูง 10-25 กรัม คาร์โบไฮเดรต 42-47 กรัม กากใย 2.75-3.72 กรัม และมีไขมันต่ำเพียง 0.25-2.4 กรัม แล้วยังมีกรดอะมิโน และกรดไขมันจำเป็นหลายชนิด มีกรดอะมิโนจำเป็นสูง 37-39% มีกากใยสูงช่วยทำความสะอาดทางเดินอาหารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีไขมันต่ำเหมาะกับผู้คุมน้ำหนักยิ่งกว่านั้น “สาหร่ายผักกาดทะเล” ยังทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงความเค็มได้ดี เพราะมีทัลลัสเป็นแผ่นแบนบาง และมีรอยจีบอยู่ตรงขอบ พบลอยน้ำบริเวณชายฝั่ง หรือติดริมหาด สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ง่าย เพราะมีความทนทานเลี้ยงได้หลายรูปแบบเราจึงได้เล็งเห็นประโยชน์ทั้งหลายเหล่านั้นเช่นนี้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯจึงมีการวิจัยพัฒนาการเพาะเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมอาชีพสร้างรายได้ให้เกษตรกร ทำหน้าที่พัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานอย่างเช่น “มาตรฐาน อย.” เพื่อเพิ่มคุณค่า และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์แล้วนำผลงานหรือผลิตภัณฑ์ไปเผยแพร่ในกิจกรรมต่างๆ ทั้งการออกร้าน การจัดแสดงในงานนิทรรศการ และเวทีประชาสัมพันธ์อื่นๆ เพื่อสร้างการรับรู้ขยายโอกาสทางการตลาดให้มากยิ่งขึ้นจนได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในทุกวันนี้ ขณะที่ สุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการ กปร. บอกว่า โครงการนี้เป็นการพัฒนาพื้นที่ยอดเขาจนถึงท้องทะเลครอบคลุมกิจกรรมตั้งแต่การจัดการป่าไม้ เกษตรกรรม จนถึงการดูแลพืชป่าชายเลน และการประมง แล้วหนึ่งในผลิตภัณฑ์เด่นคือ “บะหมี่สาหร่ายทะเล” ที่ผลิตจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 6 กลุ่ม สร้างรายได้รวมถึงหลักล้านบาทผลิตภัณฑ์นี้เป็นผลต่อยอดจาก “โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างตามพระราชดำริ จ.เพชรบุรี” ที่ได้นำมาวิจัยทดลองเพาะเลี้ยงจนประสบความสำเร็จ สามารถแปรรูปเป็นสินค้าได้หลากหลายช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชนเรื่องการตลาด “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาคุ้งกระเบนฯก็มีความเข้มแข็ง” เพราะสินค้าได้มาตรฐาน อย. ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพสามารถจำหน่ายได้ง่าย แม้แต่ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งก็สนใจนำสินค้าไปวางขาย ทำให้การผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ และบางผลิตภัณฑ์ก็อยู่ระหว่างการทดลองตลาดประเมินความนิยมอยู่ขณะเดียวกันก็ยังมีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง และได้รับมาตรฐาน อย.แล้วกว่า 40 รายการ โดยมีเป้าหมายในการต่อยอดให้คนรุ่นใหม่สามารถเติบโตตั้งแต่ขั้นการผลิตไปจนถึงการเป็นผู้ประกอบการในอนาคต สุภิดา ลิ้นทอง วิสาหกิจชุมชนจันทราบุรี @ปากน้ำแหลมสิงห์ บอกว่า สาหร่ายผักกาดทะเลเป็นซุปปอร์ฟู้ดและฟิวเจอร์ฟู้ดที่ช่วยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม สามารถต่อยอดเป็นอาหาร เครื่องดื่ม สกินแคร์ และสินค้าดูแลกายใจ ในส่วนการเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างเช่น หลอดจากสารสกัดสาหร่ายย่อยสลายได้ภายใน 6 เดือนสิ่งเหล่านี้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯมีบทบาทสำคัญเสมือนพี่เลี้ยงให้ความรู้ พัฒนาผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนการตลาดจากเริ่มต้น “ศูนย์” จนกลายเป็นผู้ให้ นำองค์ความรู้ไปถ่ายทอดต่อยอดแก่ผู้สนใจทำให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น “เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งจนเกิดการพัฒนาที่รอบด้าน” ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะผลกำไรแต่ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน เพื่อให้ทุกอย่างเติบโตอย่างสมดุลยั่งยืน “เราได้น้อมนำหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้เป็นแนวทางบริหารจัดการกลุ่ม โดยยึดหลักการทำด้วยใจ และการลงมือทำจริง ทำให้มองเห็นคุณค่าในสิ่งรอบตัว ใช้ทรัพยากรในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมพัฒนาต่อยอดจนเกิดมูลค่าเพิ่ม เน้นใช้อย่างคุ้มค่า ลดของเสีย และสร้างประโยชน์ได้ครบวงจร” สุภิดาว่านี่คือความสำเร็จในการน้อมนำหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง มาใช้ทั้งเรื่องความสุขร่วมกัน ความสามัคคี การใช้ศักยภาพคนโดยไม่ต้องใช้เงิน.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม