คุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เปิดเผยในเวทีสัมมนาของ วารสารการเงินธนาคาร สัปดาห์ที่แล้วถึง “ค่าเงินบาท” ที่แข็งค่าว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 8% โดย ธปท.จะเข้าไปดูแลบางช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าเร็วเกินไปแรงกดดันค่าเงินบาท มาจากปัจจัยเชิงพื้นฐาน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ บัญชีเดินสะพัด เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และปัจจัยที่ไม่ใช่เชิงพื้นฐาน เช่น การไหลเข้ามาของเงิน ทองคำ และสกุลเงินดิจิทัลผู้ว่าการวิทัย ระบุว่า “ธุรกรรมทองคำ” มีนัยสำคัญต่อค่าเงินบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นแรงกดดันหลักต่อค่าเงินบาทในบางช่วงเวลา ปริมาณการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) รายวันของกลุ่มผู้ค้าทองคำอยู่ที่ 8% ของปริมาณซื้อขายรวมทั้งหมดในตลาด และ ในวันที่ค่าเงินบาทขึ้นลงเร็วหรือแข็งค่าเร็ว ปริมาณซื้อขาย FX ของร้านทองสูงถึง 20.5% ของปริมาณซื้อขายทั้งหมดในตลาด นอกจากนี้ยังพบว่า การซื้อขายทองคำของผู้ประกอบการ 15-16 ราย มีการเติบโตขึ้นมาก การ trade ทองคำทุกช่องทางมีมูลค่าราว 50% ของจีดีพี (9.5 ล้านล้านบาทจากจีดีพี 19 ล้านล้านบาท)ธุรกรรมที่พบมาจาก การซื้อขายทองคำแบบกระดาษ เมื่อ ราคาทองคำโลกสูงขึ้น ลูกค้าก็ขายทองคำกระดาษ ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ 3-4 รายก็ต้อง “ขายดอลลาร์ซื้อบาท” เพื่อปรับสถานะ (Position) การทำธุรกรรมนี้จึงกดดันให้เงินบาทแข็งค่า วันที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วที่สุด เช่น จาก 31.8 บาท ลงมา 31.4 บาทต่อดอลลาร์ พบว่าการขายดอลลาร์เกินครึ่งหนึ่งมาจากร้านค้าทอง ธปท.จึงได้ยกระดับติดตามการเคลื่อนไหวของธุรกรรมทองคำผู้ว่าการวิทัย กล่าวอีกว่า ธปท.ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ เข้มงวดการตรวจสอบก่อนรับทำธุรกรรม FX ที่เกี่ยวกับทองคำ โดยให้ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมทองคำอย่างละเอียด และยังให้ตรวจธุรกรรมการขาย FX เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์ (เงินเทา) รวมทั้งหารือกับหน่วยงานที่ออกพันธบัตรขนาดใหญ่ ให้ชะลอการออกพันธบัตรในช่วงที่ค่าเงินผันผวน เพื่อลดแรงจูงใจในการไหลเข้าของเงินทุน มีการหารือกับ ก.ล.ต.เพื่อช่วยติดตามแหล่งที่มาของเงินดิจิทัลคริปโตเคอร์เรนซี โดย ธปท.กำหนดให้ “ผู้นำเข้าเงินดอลลาร์มาขายเพื่อซื้อเงินบาท” ต้องแจ้ง “แหล่งที่มาของเงินได้” แต่ ธปท.จะไม่ใช้มาตรการรุนแรงเกินไป เช่น การเก็บภาษีขาเข้า (เหมือนที่เคยทำในปี 2010)ก็ถือว่า แบงก์ชาติทำค่อนข้างครบถ้วน ในการรับมือกับแรงกดดันค่าเงินบาทหลายคนอาจสงสัย การซื้อขายทองคำมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าได้อย่างไร ผมเพิ่งอ่านในเว็บไซต์ “การเงินธนาคารออนไลน์” ที่ทำข้อมูลเรื่องนี้ระบุว่า บริษัทค้าทองยักษ์ใหญ่ 3 แห่ง มีรายได้จากการขายทองคำในปี 2567 มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านล้านบาท โดยมี กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง ครองอันดับ 1 มีรายได้จากการซื้อขายทองคำกว่า 2.66 ล้านล้านบาท มีกำไรสุทธิกว่า 531 ล้านบาท ผู้บริหารคาดว่ารายได้ปี 2568 อาจจะพุ่งแตะ 5 ล้านล้านบาท จากอานิสงส์ของราคาทองคำโลกที่ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องอันดับ 2 กลุ่มเอ็มทีเอส กรีน โกลด์ (แม่ทองสุก) ผู้บุกเบิกการเทรดทองคำ Gold Spot ผ่านระบบตลาดโลกและแอปเป๋าตังมีรายได้จากการซื้อขายทองคำกว่า 1.44 ล้านล้านบาท กำไรสุทธิกว่า 113 ล้านบาท อันดับ 3 กลุ่มวายแอลจี เน้นลูกค้ารายย่อยซื้อขายผ่านแอป Get Gold มีรายได้กว่า 9 แสนล้านบาท มีกำไรสุทธิกว่า 37 ล้านบาทการนำเข้าส่งออกทองคำ ไทยใช้เงินดอลลาร์เป็นหลัก ต้องเปลี่ยนดอลลาร์เป็นบาท เปลี่ยนบาทเป็นดอลลาร์ จึงส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท ข้อมูลจาก World Gold Council 9 เดือนแรกปีนี้ ไทยนำเข้าทองคำ 36 ล้านตัน มากเป็นอันดับ 8 ของโลก ราคาทองคำวันจันทร์ที่ 22 ธ.ค. ก็ทำสถิติใหม่เป็น 4,444 ดอลลาร์/ออนซ์ เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นมา 31.40 บาทต่อดอลลาร์ ถ้าเปลี่ยนการซื้อขายทองคำเป็น “ดอลลาร์” สกุลเดียวไม่ต้องแลกไปแลกมา ผลกระทบค่าเงินบาทตรงนี้กับทองคำก็น่าจะหายไปทันที.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม