ทหารไทยเสียขาเพิ่มอีกเป็นรายที่ 8 ของปีนี้ เป็นทหารช่างนาวิกโยธินเหยียบทุ่นระเบิดสังหารขณะเข้าเคลียร์บ้าน 3 หลัง จ.ตราด กองทัพเรือซัดเขมรละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาชัดเจน แฉได้หลักฐานมัดตัวเพียบ รวมถึงแผนผังแสดงตำแหน่งการฝังทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และทุ่นระเบิดดัดแปลงในพื้นที่บ้านหนองรี ขณะที่การปะทะตามแนวชายแดนฝั่งอีสานใต้ยังต่อเนื่องเป็นวันที่ 14 ทั้งที่เนิน 350 จ.สุรินทร์-ห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ เมื่อเขมรพยายามเสริมกำลัง ขนอาวุธหนักเข้ามาในพื้นที่ ส่วน “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว-คลองเผง” จ.สระแก้ว ควบคุมได้บางส่วน เหตุอีกฝ่ายยิงใส่ไม่เลิก-ฝ่าดงทุ่นระเบิดได้ยาก จับตาการประชุม รมว.ต่างประเทศอาเซียนรอบสอง ไทยย้ำจุดยืนเดิม กัมพูชาต้องรับ 3 เงื่อนไขก่อนหลังจากกองทัพไทยเข้าทวงพื้นที่เขตอธิปไตยของไทยกลับคืนมาจากการรุกล้ำของฝ่ายกัมพูชา ในหลายจุด พร้อมตัดเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อไม่ให้เป็นภัยคุกคามไทยได้อีก แต่กัมพูชายังซุ่มโจมตีไทยไม่หยุด ทั้งจุดยุทธศาสตร์สำคัญเนิน 350 ใกล้ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ และชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ใน จ.ตราดยิงปะทะต่อเนื่องข้ามคืนทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 ธ.ค.เสียงปืนบริเวณเนิน 350 เงียบลงไป แต่ช่วงกลางคืนกลับมีการยิงปะทะกันเป็นระยะๆ ตลอดทั้งคืน จากนั้นเบาบางลงไปจนถึงช่วงเช้าวันที่ 21 ธ.ค.เริ่มมีการปะทะหนักขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่เวลาประมาณ 06.00 น.โดยฝ่ายไทยยิงปืนใหญ่สนับสนุนต่อเนื่อง ก่อนที่เวลา 07.40 น. มีเสียงจรวด BM-21 จากทหารกัมพูชายิงเข้ามาเป็นชุดแรก และมีเสียงปืนใหญ่ยิงตอบโต้กันเป็นระยะ โดยทหารกัมพูชายังไม่ยอมจำนน พยายามเสริมกำลังและอาวุธหนักเข้ามาในพื้นที่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ทหารไทยต้องยิงสกัดทำลายการเคลื่อนกำลังและอาวุธอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริเวณปราสาทตาเมือนธม ต.เมียง อ.พนมดงรัก ที่ยังมีการยิงกันไปมาประปราย ตั้งแต่ช่วงเช้าเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาต่อเนื่องเป็นวันที่ 14นย.เหยียบทุ่นระเบิดบ้านหนองรีขณะที่บ้านหนองรี จ.ตราด เวลา 09.14 น.เกิดเหตุทหารช่างนาวิกโยธินประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิด ขณะปฏิบัติภารกิจจัดทำที่มั่นเสริมความแข็งแรงในพื้นที่บ้านหนองรี ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ผู้บาดเจ็บทราบ คือ จ.อ.เทอดพงษ์ ผมนะรา โดยเหตุเกิดบริเวณบ้าน 3 หลัง จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า ขาขวาขาด เจ้าหน้าที่ให้การปฐมพยาบาลในที่เกิดเหตุ ก่อนเร่งนำตัวส่ง รพ. และหน่วยที่เกี่ยวข้องได้เข้าควบคุมพื้นที่และตรวจสอบความปลอดภัยโดยรอบ เพื่อป้องกันอันตรายซ้ำซ้อนทร.ซัดกัมพูชายังละเมิด ก.ม.ต่อมา พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีทหารช่าง นย.เหยียบทุ่นระเบิดว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. เกิดเหตุทหารช่างนาวิกโยธินประสบเหตุเหยียบกับระเบิด ระหว่างปฏิบัติภารกิจในพื้นที่บ้านหนองรี (บ้านสามหลัง) ต.ชำราก อ.เมืองตราด ผู้ได้รับบาดเจ็บคือ จ.อ.เทอดพงษ์ ผมนะรา สังกัดกองพันทหารช่าง กองพลนาวิกโยธิน ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาขวา จากเหตุการณ์ดังกล่าวยืนยันได้ชัดเจนว่า กองทัพกัมพูชายังคงมีเจตนาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ เข้าข่ายเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวมถึงการกระทำอันขัดต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชนผู้บริสุทธิ์พบแผนผังตำแหน่งฝังทุ่นระเบิดนอกจากนี้ พล.ร.ต.ปารัชระบุด้วยว่าการกระทำของกองทัพกัมพูชาเป็นการละเมิดพันธกรณีตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาออตตาวาชัดเจน ภายหลัง กปช.จต.ได้เข้าควบคุมและตรวจสอบพื้นที่บ้านหนองรีและบ้านท่าเส้น ตรวจพบวัตถุพยานจำนวนมากที่ไม่อาจปฏิเสธได้ อันแสดงถึงการวางแผนและการกระทำโดยเจตนาในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ได้แก่ การตรวจพบแผนผังแสดงตำแหน่งการฝังทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทุ่นระเบิดดัดแปลง ในพื้นที่บ้านหนองรี สะท้อนถึงการเตรียมการล่วงหน้าเพื่อประสงค์ต่อชีวิตทหารไทย การตรวจพบคลังอาวุธและทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบดัดแปลงจำนวนมาก ในพื้นที่บ้านท่าเส้น (กาสิโนทมอดา) ยืนยันถึงการที่ทหารกัมพูชาเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ โดยครอบครองและการใช้อาวุธต้องห้ามดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเป็นรายที่ 8 ถือเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และเป็นการคุกคามต่อชีวิตมนุษย์โดยไม่เลือกเป้าหมายแจงเหตุกัมพูชารื้อเขื่อนกันคลื่นพล.ร.ต.ปารัช ยังกล่าวถึงที่มีข่าวกองทัพเรือยื่นข้อเสนอให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการรื้อถอนเขื่อนกันคลื่นในพื้นที่ชายแดนทางทะเลบริเวณหลักเขตที่ 73 นั้น ข้อมูลดังกล่าวไม่ตรงกับข้อเท็จจริง กองทัพเรือมิได้ข่มขู่ หรือเจรจา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพเรือยื่นหนังสือแสดงความห่วงกังวล ขอให้ระงับการดำเนินการและพิจารณาผลกระทบ ตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดน โดยกองทัพเรือดำเนินการผ่านกลไกความร่วมมือด้านชายแดนที่มีอยู่ตามกรอบทวิภาคี โดยเฉพาะคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regio nal Border Committee : RBC) มาโดยตลอด ซึ่งฝ่ายกัมพูชารับทราบในเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่การรื้อถอนเขื่อนกันคลื่น เป็นความประสงค์และการตัดสินใจของเอกชนฝ่ายกัมพูชาเอง กองทัพเรือคาดว่าหลังจากที่ฝ่ายไทยเข้าเคลียร์พื้นที่ที่ถูกล่วงล้ำตามแนวชายแดนทางบกและทางทะเล จนสามารถควบคุมสถานการณ์และดำเนินการได้เรียบร้อย ส่งผลให้การบริหารจัดการพื้นที่เป็นไปด้วยความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเอื้อต่อการแก้ไขประเด็นค้างคาในพื้นที่ด้วยแนวทางที่เหมาะสมและสันติอรัญประเทศวุ่นเขมรระดมยิง BM–21จากนั้นในช่วงบ่ายเป็นต้นมา เกิดเหตุปะทะระหว่างกองทัพไทยกับกัมพูชา ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เมื่อเพจ Army Military Force ระบุว่าเวลา 13.30 น. เครื่องบินรบ F-16 ของกองทัพอากาศไทยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศทิ้งระเบิดใส่ตำแหน่งคลังอาวุธในเขตภูมิภาคทหารที่ 5 ของกองทัพกัมพูชา ด้านหลังภูเขาพนมพกาม ต.พกาม อ.สวายเช็ก จ.บันเตียเมียนเจย ตามด้วยทหารไทยระดมยิงปืนใหญ่วิถีโค้งโจมตีฐานที่มั่นทหารกัมพูชาที่ชายแดนปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย จากนั้นไม่นานเทศบาลเมืองอรัญประเทศ ประกาศให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองอรัญประเทศ รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง รีบเดินทางอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง ไปยังสถานที่ปลอดภัยหรือศูนย์พักพิงที่ทางราชการจัดเตรียมไว้โดยทันที หลังกัมพูชาระดมยิงจรวด BM-21 โจมตีพื้นที่พลเรือนทภ.1 แจ้ง 4 อำเภออพยพตามด้วยเวลา 15.30 น. ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 แจ้งว่าเนื่องจากปัจจุบัน กกล.บูรพามีการปฏิบัติการทางทหารต่อที่หมายทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ และ อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน 4 อำเภอชายแดน จ.สระแก้ว งดเข้าพื้นที่พักอาศัยของตน และให้อพยพไปยังศูนย์ฯ ตามที่ทางราชการจัดให้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายปอยเปตเริ่มโกลาหลขณะที่บรรยากาศภายในเมืองปอยเปต ฝั่งกัมพูชาเริ่มตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด หลังประชาชนจำนวนมากทยอยเก็บข้าวของและอพยพออกจากตัวเมือง ท่ามกลางกระแสความตื่นตระหนกจากเสียงระเบิดดังเป็นระยะ ที่ได้ยินจากบริเวณใกล้แนวชายแดน ส่งผลให้ประชาชนในปอยเปตเกิดความวิตกกังวล หวั่นสถานการณ์จะลุกลามเข้าสู่เขตชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจ แหล่งชุมชน และอาคารสูงหลายแห่งในตัวเมือง รายงานระบุว่า มีประชาชนบางส่วนเร่งเดินทางออกจากเมืองไปยังพื้นที่ตอนในของประเทศ ขณะที่บางครอบครัวเลือกหลบภัยอยู่ในอาคารที่มั่นคง หรือรวมกลุ่มกันเฝ้าติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด บรรยากาศโดยรวมเต็มไปด้วยความโกลาหล ร้านค้าบางแห่งปิดให้บริการก่อนเวลา และการสัญจรในบางเส้นทางเริ่มติดขัด“อนุทิน” รับร่าง 2 ทหารกล้าส่วนที่โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน จ.สุรินทร์ เมื่อเวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งศพทหารกล้า จ.ส.อ.สำเริง คลังประโคน อายุ 38 ปี และพลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา วัย 21 ปี นักรบสมรภูมิเนิน 350 ต.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ บรรยากาศภายในพิธีเต็มไปด้วยความโศกเศร้าของครอบครัวทหารกล้าทั้งสอง จากนั้นเวลา 11.05 น. นายอนุทินโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “กราบทหารกล้าด้วยสำนึกคารวะต่อบุญคุณที่ท่านได้ปกป้องรักษาแผ่นดินให้เรา” พร้อมโพสต์ภาพขณะก้มกราบหน้าโลงศพร่างทหารทั้งสองนายด้วยยึดพื้นที่เป้าหมายเกือบหมดแล้วต่อมานายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า ด้านการทหาร กองทัพไทยทั้งสามเหล่าทัพสามารถยึดพื้นที่เป้าหมายที่เคยถูกรุกล้ำกลับคืนมาได้เกือบทั้งหมด และผลักดันฝ่ายตรงข้ามถอนกำลังออกจากพื้นที่ พร้อมเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะรุนแรงเพิ่มเติม ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยว่า ไม่เคยเป็นฝ่ายรุกรานหรือคุกคามประเทศเพื่อนบ้าน และไม่ได้ละเมิดข้อตกลงหรือปฏิญญาใดๆ การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปเพื่อสถาปนาอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ โดยหากต้องการยุติการปะทะ ต้องหยุดยิง หยุดคุกคาม และหยุดการรุกราน รวมถึงการใช้โดรนในพื้นที่ชายแดน ส่วนการเจรจาหยุดยิง ยังไม่มีการให้ประเทศใดเข้ามาเป็นคนกลาง เนื่องจากเป็นเรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยตรงยืนยันดูแลผู้เสียชีวิตเต็มที่กรณีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในวันที่ 22 ธ.ค. นายอนุทินกล่าวว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอนโยบายและจุดยืนของประเทศไทยอย่างชัดเจน ยืนยันว่าไทยไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหรือรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ ประเทศไทยยืนอยู่บนหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และต้องการยุติความสูญเสียโดยไม่ให้สถานการณ์บานปลาย รัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต ยืนยันจะดูแลสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ ทั้งบำเหน็จ ปูนบำเหน็จ และเงินชดเชยตามระเบียบ การสูญเสียครั้งนี้ไม่ควรถูกมองเป็นเพียงตัวเลข แต่คือชีวิตของผู้ที่อุทิศตนเพื่อชาติ และขอให้การเสียสละของทหารกล้า 2 นาย เป็น 2 ชีวิตสุดท้าย ส่วนการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการอพยพ จะมีการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรม ครอบคลุมทุกครอบครัวย้ำรัฐดูแลประชาชนเต็มที่จากนั้น นายอนุทินได้ตรวจเยี่ยมกำลังพลภายในมณฑลทหารบกที่ 25 ค่ายวีรวัฒน์โยธิน และตรวจเยี่ยมศูนย์อพยพและพักพิงชั่วคราวในพื้นที่จ.สุรินทร์ พร้อมพูดคุยให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และผู้ปฏิบัติงานที่ประจำอยู่ในพื้นที่ โดยกำชับให้ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง จากนั้น นายอนุทินตรวจเยี่ยมกิจกรรมดูแลเด็กและกิจกรรมนันทนาการภายในศูนย์อพยพ พร้อมสอบถามการจัดการเรียนรู้และการดูแลสภาพจิตใจเด็กในช่วงการอพยพ ก่อนพบปะพูดคุยกับประชาชนในศูนย์ และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในแต่ละจุดปฏิบัติงาน ก่อนเดินทางกลับ ยังได้ย้ำขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะดูแลความปลอดภัย ความเป็นอยู่ และทรัพย์สินของประชาชนอย่างเต็มที่ตั้งแถวเกียรติยศส่ง 2 วีรบุรุษจากนั้น มีพิธีรับ-ส่งศพวีรบุรุษผู้กล้า 2 นาย คือ จ.ส.อ.สำเริง คลังประโคน มุ่งหน้า อ.ประโคนชัย สู่มาตุภูมิ วัดห้วยปอ ต.ปังกู อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ และ พลฯ ภาณุพัฒน์ เสาร์สา มุ่งหน้า อ.ขุขันธ์ สู่มาตุภูมิ วัดกลาง ต.ห้วยเหนือ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ โดยมีนายจำเริญ แหวนเพ็ชร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และพลตรีไชยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการและกำลังพลค่ายวีรวัฒน์โยธิน เข้าแถวทำความเคารพและส่งร่างทหารกล้ากลับภูมิลำเนาอย่างสมเกียรติชายชาติทหาร รวมถึงประชาชนร่วมยืนโบกสะบัด “ธงไตรรงค์” ตามเส้นทางถนนสุรินทร์-ปราสาท เป็นการร่วมสดุดีและไว้อาลัยให้ 2 ทหารกล้า โดยมณฑลทหารบกที่ 25 อำนวยการจัดขบวนส่งทั้งสองถึงภูมิลำเนาสองแม่วีรบุรุษสุดเศร้าเสียลูกชาย ด้านนางอุ่น คลังประโคน อายุ 79 ปี แม่ “จ่าเริง” พร้อมด้วย ภรรยาและลูกของจ่าเริง มารับร่างจ่าเริงด้วยตนเอง โดยนางอุ่น ร้องไห้กอดรูปภาพลูกชายที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ก็รู้สึกปลื้มใจในการปกป้องชาติของลูกชาย ขณะที่นางพิชญ์สินี เสาร์สา อายุ 41 ปี แม่ของพลทหารภานุพัฒน์ มีอาการสงบนิ่งและยังร้องไห้ที่ต้องสูญเสียพลทหารภาณุพัฒน์ไปอย่างไม่มีวันกลับ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าของทั้งสองครอบครัวคนประโคนชัยร่วมรับศพ “จ่าเริง”สำหรับบรรยากาศในเขตเทศบาลเมืองประโคนชัย ประชาชนกว่า 200 คน มาตั้งแถวรอรับศพจากสิบเอกสําเริง คลังประโคน โดยประชาชนส่วนใหญ่แต่งกายไว้ทุกข์ชุดสีดําและถือธงชาติไทย โบกสะบัดสองฝั่งทางที่ขบวนศพผ่าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ก็มีความภาคภูมิใจ เมื่อร่างของจ่าเริงถูกส่งกลับคืนสู่มาตุภูมิอย่างสมเกียรติ โดยเวลา 11.30 น. รถจีเอ็มซีของทหารที่บรรทุกร่างของจ่าสิบเอกสำเริงเดินทางมาถึงที่วัดห้วยปอ ต.ปังกู อ.ประโคนชัย ท่ามกลางประชาชนที่คอยโบกธงชาติไทยตลอดแนวถนน โดยมีนายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.วรายุส์ จันทร์เยี่ยม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ เดินทางมาร่วมรับร่างในครั้งนี้ด้วย หลังจากนั้นมีการรดน้ำศพตามประเพณี ซึ่งมีข้าราชการหลายหน่วยงานและประชาชนร่วมพิธีรดน้ำศพเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงความกล้าหาญ ความเสียสละ และความกตัญญูของจ่าเริง โดยเฉพาะมีการนำคลิปของจ่าเริงขณะเดินทางมาเยี่ยมแม่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวที่วัดแห่งหนึ่งในตัวอำเภอประโคนชัย เป็นภาพเข้ามาสวมกอดและหอมแม่พร้อมกับพูดว่า “คิดถึงแม่” มาแบ่งให้กันดูพระราชทานเพลิง 24 ธ.ค.นี้จากนั้น นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นผู้แทนพระองค์ในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ อัญเชิญพวงมาลาพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ มาวางเรียงอย่างสมเกียรติ ณ หน้าหีบศพ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยกำหนดการพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมจัดขึ้นรวม 3 คืน ในคืนวันที่ 21-23 ธันวาคม 2568 มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมตามแบบแผนราชประเพณี แล้วมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ณ เมรุวัดห้วยปอ นอกจากนี้ ยังมีกำหนดจัดพิธี พระราชทานผ้าไตรและภัตตาหารสามหาบ ในการเก็บอัฐิ ในวันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม 2568 ณ ศาลาการเปรียญวัดห้วยปอกองทหารเกียรติยศรับพลฯวุ้นขณะที่รถทหารจากมณฑลทหารบกที่ 25นำร่างของพลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา หรือพลทหารวุ้น เดินทางมาถึงวัดกลาง ต.ห้วยเหนือ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ในเวลา 12.09 น. ทันทีที่ร่างพลทหารวุ้นมาถึง กองทหารเกียรติยศได้ตั้งแถวเป่าแตรรับ เพื่อสดุดีวีรกรรมของผู้กล้า มีข้าราชการ พี่น้องประชาชนและญาติพี่น้องมาตั้งแถวรอรับอย่างเนืองแน่น หลังจากนั้น แม่ น้องๆ ญาติพี่น้อง ขอขมาศพ รดน้ำศพตามประเพณี บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า โดยนายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ มอบตะกร้าพระราชทาน มอบเงินพระราชทานช่วยเหลือครอบครัวของพลฯ ภานุพัฒน์ ต่อมา พลตรี สุคนธรัตน์ ชาวพงษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นประธานประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ วางพวงมาลาหลวง พวงมาลาพระราชทาน พระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรม และในวันที่ 24 ธ.ค.มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดกลางลูกชายได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจแล้วนางพิชญ์สินี เสาร์สา อายุ 41 ปี แม่ของพลทหารวุ้นเปิดเผยว่า คิดถึงคำพูดของน้องวุ้นที่พูดว่าไม่อยากจะกลับบ้านแล้ว “เพราะเค้ารักประเทศไทยไปแล้ว เค้ารักชาติ เค้าอยากทำหน้าที่ตรงนี้ ยิ่งรู้ว่า กัมพูชาอยากได้ประเทศ ไทย ตนยิ่งจะไม่ยอม” ตนได้ยินแบบนี้เลยเผื่อใจไปแล้ว ตอนนี้ตนรู้สึกภูมิใจกับลูกมากๆ ที่สละชีพเพื่อชาติและรบเพื่อแผ่นดินไทยเรา ตอนแรกที่ตนรู้ว่าลูกเสียชีวิต ตนรู้สึกผิด เพราะเป็นคนแนะนำลูกให้สมัครเป็นทหาร ตนไม่รู้ว่าจะต้องทำบุญขนาดไหนถึงจะได้น้องวุ้นกลับมา ตนจะพยายามเข้มแข็ง จะทำบุญให้น้องวุ้นมากๆ สงกรานต์นี้ตั้งใจจะนุ่งขาวห่มขาว ทำบุญให้น้องวุ้นเป็นเวลา 1 เดือน อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตนร้องไห้หนัก คือน้องวุ้นเคยจะให้โทรศัพท์ที่น้องใช้ แต่ต้องเป็นหลังจบสงครามครั้งนี้ วันนี้ตอนที่ตนไปรับศพน้องวุ้น ทหารเอาโทรศัพท์น้องมายื่นให้แม่ พบว่าโทรศัพท์ไม่พังเลย เหมือนกับว่าน้องทำตามสัญญากับแม่แล้วว่าจะให้โทรศัพท์เครื่องนี้กับแม่ ตอนนั่งรถนำร่างน้องกลับมา ตนก็ได้ยินเสียงน้องอยู่ตลอดว่า “แม่ร้องไห้ทำไม โทรศัพท์ก็ให้แล้ว” เหมือนกับน้องได้ทำสัญญาที่ให้กับแม่แล้วทำพิธีเชิญดวงวิญญาณ 2 ทหารกล้าผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อเวลา 19.16 น.เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force เผยเเพร่ภาพพระสงฆ์กำลังประกอบพิธีเชิญดวงวิญญาณ จ่าสิบเอกสำเริง คลังประโคน และพลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สาทหารกล้าผู้พลีชีพในสมรภูมิเนิน 350 บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กลับสู่มาตุภูมิ บ้านเกิดอันเป็นที่รักของทหารกล้าทั้งสอง ที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ และ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ตามลำดับ3 พื้นที่สระแก้วควบคุมได้บางส่วนอีกด้านหนึ่งที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ททบ.5 พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก แถลงภาพรวมเหตุการณ์ปะทะแนวชายแดน ณ เวลา 14.00 น. ว่าพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ลดลง มีพื้นที่ที่ฝ่ายไทยเข้าควบคุมได้มากขึ้น แต่ยังคงมีพื้นที่ปะทะ คือ บริเวณห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ฝ่ายกัมพูชายังคงพยายามเข้าตีพื้นที่ ส่วนพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) ชายแดน จ.สระแก้ว ได้แก่ บ้านคลองแผง บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ฝ่ายไทยควบคุมได้บางส่วน ยังไม่ทั้งหมด เป็นพื้นที่ในเขตไทยทั้งสิ้น สาเหตุที่ยังไม่สามารถควบคุมทั้ง 3 พื้นที่ได้ เพราะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบ การรุกคืบเข้าไปต้องใช้ความรอบคอบ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชามีอาวุธยิงสนับสนุนและทุ่นระเบิด ทำให้ฝ่ายไทยต้องระมัดระวังมาก แต่ยังคงไม่ละทิ้งความพยายามทอ.โต้เฟกนิวส์คนเขมรตายเยอะพล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า ตามที่ รมว.มหาดไทยกัมพูชาอ้างว่าปฏิบัติการทางทหารฝ่ายไทย ส่งผลให้ประชาชนชาวกัมพูชาเสียชีวิตจำนวนมาก เป็นคําพูดเท็จ เป็นเฟกนิวส์ ยืนยันว่าตลอด 10 กว่าวันที่ผ่านมา การปฏิบัติการทางอากาศในพื้นที่ใกล้ชิดพลเรือนหรือมีความสำคัญ เราใช้อาวุธที่มีความแม่นยำทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ยืนยันได้ว่าไม่มีการสูญเสียใดๆ เกิดขึ้นกับฝ่ายพลเรือน มุ่งเน้นลิดรอนขีดความสามารถการปฏิบัติการของฝ่ายกัมพูชา เช่น กองบัญชาการควบคุม คลังอาวุธ เส้นทางส่งกำลังบำรุง นอกจากนี้ทุกครั้งที่มีการโจมตี ผู้บังคับบัญชา จะมีการแจ้งนักบินพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพลเรือน เช่น สะพานโอจิก จ.อุดรมีชัย เรามีความพยายามหลายครั้ง 2-3 ครั้ง ที่นักบินเครื่องบินขับไล่ต้องแบกระเบิด แต่เมื่อเห็นว่าทิ้งไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวกัมพูชาที่สัญจรไปมา จึงยกเลิกประณามเขมรจะยิง BM–21 ใส่ไทยขณะที่ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ได้รับรายงานเมื่อเวลา 14.00 น. กัมพูชามีความพยายามจะยิง BM-21 มายังพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ทำให้เจ้าหน้าที่เร่งอพยพประชาชนในพื้นที่ ยืนยันถึงความโหดร้ายของฝ่ายกัมพูชา ในการโจมตีเป้าหมายพลเรือน-ชุมชน ขอประณามฝ่ายกัมพูชาที่ไม่เลือกเป้าหมายโจมตี ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้กต.ประกาศจุดยืนเดิม 3 เงื่อนไขส่วนนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวถึงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน วาระพิเศษ ที่มาเลเซีย วันที่ 22 ธ.ค. องค์ประกอบคณะผู้แทนไทยมีความสำคัญ สะท้อนถึงความพร้อมของฝ่ายไทยที่จะไปพูดคุยหารือกับฝ่ายกัมพูชา และชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงหลักฐานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ต่อเพื่อนประเทศอาเซียนอื่นที่เข้าร่วม พร้อมย้ำว่าไทยปรารถนาต้องการให้เกิดสันติภาพมาตลอด แต่ไม่สามารถปฏิเสธรูปแบบการกระทําของฝ่ายกัมพูชาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อไทยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เช่น ทหารไทยเหยียบ ทุ่นระเบิดวันนี้ สูญเสียขาที่ 8 หรือโจมตีเป้าหมายพลเรือน ขอยืนยันใน 3 ปัจจัยที่ฝ่ายไทยรอฟังจากกัมพูชา 1.กัมพูชาต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน 2.การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง 3.กัมพูชาต้องแสดงความจริงใจร่วมมือกับฝ่ายไทยเก็บกู้ทุ่นระเบิดย้ำไทยชัดเจน รอดูท่าทีอีกฝ่ายรองโฆษก กต.กล่าวด้วยว่า ข้อ 2 มีความสำคัญกว่าข้ออื่น การหยุดยิงจะต้องเกิดขึ้นจริง เพื่อให้ฝ่ายทหารทั้ง 2 ประเทศ ได้มาพูดคุยกันในขั้นตอนต่อไป ที่จะลดความตึงเครียด จะมีความสำคัญต่อคณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมการประชุมวันที่ 22 ธ.ค.จะเป็นโอกาสสำคัญยิ่งและย้ำว่าจะเป็นโอกาสที่ดี ไทยมีท่าทีที่ชัดเจนมาโดยตลอด และเราพร้อมรอดูท่าทีของฝ่ายกัมพูชาทร.เร่งพิสูจน์เขื่อนกันคลื่นกัมพูชาด้าน พล.ร.ต.กรจักร์ ยศธสาร รองโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงเขื่อนกันคลื่นที่หลักเขต 73 โดยยืนยันกองทัพเรือไม่ได้ยื่นข้อเสนอหรือข่มขู่ให้กัมพูชารื้อถอน เขื่อนกันคลื่น ทั้งนี้ กัมพูชาเริ่มสร้างเขื่อนกันคลื่นปี 2540 เราเข้าใจว่าเป็นเขื่อนกันคลื่น และเมื่อสร้าง รวมทั้งมีโครงสร้างบางส่วนเป็นท่าเรือ กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด (กปจ.ชต.) จึงทักท้วงไปยังผู้สร้าง ซึ่งเป็นเอกชนและมีรีสอร์ตอยู่ด้วย เมื่อสร้างเสร็จช่วง มิ.ย.2541 เราขอให้ยุติการสร้าง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นท่าเรือ กัมพูชาโดยเอกชนก็ยุติ แต่ยังดำเนินการในส่วนที่เป็นเขื่อนกันคลื่น โดยสถานะของเขื่อนกันคลื่นไม่สามารถเรียกได้ว่าเขตของฝั่งทะเลที่จะนํามาใช้อ้างอิง ในการแบ่งทะเลอาณาเขตระหว่างประเทศได้ทำหนังสือประท้วงไปหลายรอบพล.ร.ต.กรจักร์กล่าวว่า นอกจากขอให้ยุติการสร้างส่วนที่เป็นท่าเรือแล้ว ในปีเดียวกันได้แจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศทําหนังสือทักท้วงไปยังกัมพูชา และกัมพูชามีหนังสือตอบโต้กลับมาว่าการสร้างเขื่อนกันน้ำไม่ได้ล้ำเขตไทย และไม่มีส่วนใดแบ่งทะเลอาณาเขต หรือไหล่ทวีป หรือเขตเศรษฐกิจจําเพาะได้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศทําหนังสือประท้วงอีกรอบปี 2541 จากนั้นปี 2564 ทําหนังสือทักท้วงไปอีกครั้ง การที่เราดำเนินการเช่นนี้ป้องกันกรณีกัมพูชานำเรื่องขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เราถือว่าได้คัดค้าน โต้แย้งในสิ่งที่กัมพูชาดำเนินการเป็นหลักฐานสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย แม้ปัจจุบันสถานะเขื่อนกันคลื่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชายฝั่งที่ใช้ในการแบ่งเขตทะเลอาณาเขตได้ แต่ผลกระทบที่ปรากฏในปัจจุบันทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนแปลง และเป็นไปได้ว่าทับถมตะกอนฝ่ายกัมพูชา กัดเซาะชายฝั่ง เกิดความเปลี่ยนแปลงบ้านหาดเล็ก จ.ตราด เรื่องนี้เราแจ้งข้อห่วงใยมาตลอด แต่สถานะปัจจุบันยังไม่ได้มีผลกระทบโดยตรง ด้านความมั่นคงทางทหาร เราจะใช้กำลังทหารเข้าไปดำเนินการในเรื่องนี้โดยตรง ยังไม่เหมาะสม จึงใช้กระบวนการการประท้วงมาตลอดส่วนไหนล้ำเขตไทยต้องทำลายพล.ร.ต.กรจักร์กล่าวอีกว่า หากเรามองในฐานะปัจจุบัน การที่กัมพูชาเปิดช่องบริเวณนั้นต้องไปตรวจสอบ อีกครั้งว่าในเชิงของอุทกศาสตร์จะทําให้กระบวนการกระแสน้ำ การทับถมตะกอน การกัดเซาะชายฝั่ง ลดลงไปหรือไม่ เราควรดำเนินการอย่างใดต่อไป เพราะปัจจุบันเขาเป็นฝ่ายเริ่มกระทําก่อน หากตรวจสอบ ว่ายังไม่พอเพียงและไม่สอดคล้องเราจะดำเนินการต่อไปตามกระบวนการที่เหมาะสม จากเบาไปหาหนัก ต้องไปตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งว่าเขื่อนกันคลื่นไม่ได้ล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยไทย หากล้ำต้องให้กัมพูชาทําลายส่วนที่ล้ำให้หมดรุดเยี่ยมทหารช่างเหยียบกับระเบิดต่อมาเวลา 15.30 น. นายอนุทินนั่งเฮลิคอปเตอร์มายังโรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจจ่าเอกเทอดพงษ์ ผมนะรา ทหารช่างนาวิก โยธิน ที่ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดระหว่างปฏิบัติภารกิจในพื้นที่บ้านหนองรี (บ้านสามหลัง) ต.ชำราก อ.เมืองตราด โดยนายอนุทินได้พูดคุยให้กำลังใจว่า ขอส่งจิตส่งใจให้หายเร็วๆ เพราะเป็นคนบุรีรัมย์เหมือนกัน ขอให้พักผ่อนมากๆ และขอให้คืนนี้ความดันลดลงซัดเขมรใช้ร่างทหารไทยล่อเป้าจากนายอนุทินให้สัมภาษณ์สื่ออีกครั้งว่า เรื่องกำลังใจได้ให้กับทหารทุกคนมาโดยตลอด มีทหารบางคนโชคไม่ดี ระหว่างปฏิบัติหน้าที่โดนทำร้ายอย่างทหารนายนี้ คือขาที่ 8 หากทำแบบนี้แล้วมาบอกให้เลิกแล้วต่อกันคงไม่ใช่ นี่เป็นการละลาบละล้วง ไม่เคารพสิทธิบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเรา เราต้องทำอะไรให้เขาได้ยินบ้าง เมื่อเช้านี้ไปรับร่างของทหาร 2 นาย ที่เสียชีวิตบนเนิน 350 ซึ่งกัมพูชาปล่อยให้ร่างผู้เสียชีวิตต้องอยู่ตากแดดตากฝนตั้ง 3-4 วัน ไม่ยอมให้เราเอาร่างกลับมาเพื่อทำพิธี เอาร่างผู้เสียชีวิตไว้ล่อเป้า อย่างนี้ไม่ใช่วิธีการของคนที่อยากจะมีความสงบ แบบนี้ตนอยากบอกให้นานาชาติ ได้เห็น ที่โทร.กันมาหาตน คำก็หยุดยิง สองคำก็หยุดยิง ขอให้ประเทศไทยกลับไปทำนั่น ทำนี่ ขอให้ประเทศ ไทยเคารพนั่น เคารพนี่ ดูซิว่ามีใครเคารพประเทศไทยบ้าง นี่คือสิ่งที่ต้องตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าไปบอกคนที่ทำร้ายประเทศไทย ไม่ใช่บอกประเทศไทยยันชายแดนไม่สงบไม่เกี่ยวกับ ลต.เมื่อถามว่า ความไม่สงบจะจบก่อนการเลือกตั้งหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง เราต้องทำให้จบเร็วที่สุด ไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียไปมากกว่านี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเลือกตั้งและเรื่องอะไรทั้งสิ้น ทหารและกองทัพจะเร่งดำเนินการสถาปนาอธิปไตยและความมั่นคงในทุกเขตที่เป็นเป้าหมายโดยเร็วที่สุด ไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ที่ไหนแล้ว ตอนนี้ต้องรักษาคนไทย ต้องรักษาชีวิตของทหารทั้งหลาย ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว“อันวาร์” ย้ำ 2 ชาติควรเจรจากันวันเดียวกัน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย โพสต์ลงเฟซบุ๊กวันนี้ว่า ได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาครั้งใหม่และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อหารือแนวทางคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งนี้ นายอันวาร์ย้ำว่า ไทยและกัมพูชาควรหันหน้ามาเจรจากันและด้วยความเคารพซึ่งกันและกันตามกรอบถ้อยแถลงการณ์ร่วมกัวลาลัมเปอร์ ที่ผู้นำไทยและกัมพูชาลงนามเมื่อวันที่ 26 ต.ค. พร้อมทั้งระบุว่า วันที่ 22 ธ.ค.นี้ จะมีการประชุม รมว.ต่างประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ 2 ประเทศจะเจรจาอย่างเปิดเผยและแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีเพื่อสันติภาพที่ยั่งยืนอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่