เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์” ออกมาเตือนด้วยความเป็นห่วงประชาชน กรณี... “เดินลุยน้ำย่ำโคลนด้วยเท้าเปล่า เสี่ยงโรคฉี่หนู” โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งมีหลายจังหวัดประสบอุทกภัย ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยต่างๆพุ่งเป้าจังหวัดประสบ “อุทกภัย” ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่ระบาดในช่วงน้ำท่วม ได้แก่ โรคเล็ปโตสไปโรซิส หรือโรคฉี่หนู ซึ่งมีแนวโน้มการระบาดในหลายจังหวัดที่น่าเป็นห่วงคือ “ผู้ป่วยโรคฉี่หนู” จะมีอาการคล้ายกับโรคติดเชื้ออื่นหลายโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้สมองอักเสบ ดังนั้น การตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงมีความสำคัญมากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้สนับสนุนชุดตรวจโรคฉี่หนูอย่างง่าย ซึ่งเป็นชุดตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พัฒนาขึ้นให้กับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่น้ำท่วม ทั้งนี้ชุดตรวจดังกล่าวเป็นชุดน้ำยาสำเร็จรูป สำหรับตรวจหาแอนติบอดีในซีรัมของผู้ป่วยสงสัยเป็นโรคฉี่หนู ที่มีความไวและความจำเพาะสูงที่สำคัญ...ให้ผลแม่นยำเทียบเท่ากับชุดทดสอบที่นำเข้าจากต่างประเทศ สามารถตรวจและทราบผลได้ภายในเวลา 15 นาที ใช้งานง่าย...สะดวก ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นในห้องปฏิบัติการทั่วไปหรือการตรวจภาคสนามได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือและความชำนาญพิเศษ“โรคเล็ปโตสไปโรซิส” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “โรคฉี่หนู” เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่มีอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อเล็ปโตสไปรา ซึ่งออกมากับปัสสาวะสัตว์หลายชนิด เช่น หนู สุกร สุนัข โค กระบือ เป็นต้นประเด็นสำคัญมีว่า...คนได้รับเชื้อจากการสัมผัสสัตว์ป่วยหรือลุยน้ำลุยโคลนที่ปนเปื้อนปัสสาวะ สัตว์ เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนาจึงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคฉี่หนู ดังนั้น ประชาชนกลุ่มเสี่ยงจึงต้องระมัดระวังการติดเชื้อโดยสวมรองเท้าบูต ถุงมือ ขณะทำงานสัมผัสดินและน้ำ และล้างทำความสะอาดหลังจากเสร็จกิจกรรม ในกรณีมีบาดแผล...รอยถลอกที่ผิวหนัง ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสดิน...น้ำโดยตรง“ผู้ป่วย”...มักมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อน่อง ตาแดง ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อตรวจรักษาในระยะแรกก่อนมีอาการแทรกซ้อน ไตวาย ตับวาย ปอดบวม ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ย้ำว่า...“โรคฉี่หนู” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว คือผลพวงน้ำท่วมที่เกิดขึ้นทุกปี...ทุกครั้งที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในไทย ไม่ว่าจะเป็นนครศรีธรรมราช พิจิตร อุบลราชธานี หรือครั้งนี้ที่ “หาดใหญ่” ตัวเลขผู้ป่วยโรคฉี่หนูมักจะพุ่งสูงขึ้นภายใน 1-2 เดือนหลังเหตุการณ์เพราะผู้คนจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางน้ำขังหลายวัน และต้องดำเนินชีวิตในสภาพความเป็นจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่สาธารณสุขต้องรีบออกเตือน ตั้งแต่ก่อนน้ำลดเสียด้วยซ้ำ?“ภัยเงียบในน้ำขุ่น...เชื้อโรคที่มองไม่เห็น” ให้รู้ไว้ว่า...น้ำที่ท่วมขังในเขตชุมชน หนาแน่นไปด้วยสิ่งปฏิกูล ขยะ เศษดินโคลน และปัสสาวะสัตว์ โดยเฉพาะ “หนู” ซึ่งเป็นพาหะสำคัญ เชื้อแบคทีเรียเล็ปโตสไปโรซิสสามารถแฝงตัวอยู่ในแหล่งน้ำได้นานเป็นสัปดาห์เพียงแค่...เดินลุยน้ำด้วยเท้าเปล่า เชื้อก็สามารถซึมผ่านผิวหนัง ที่เปื่อยจากน้ำ หรือแม้แต่แผลเล็กๆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้ทันทีภายในเวลาไม่กี่วัน...อาจเริ่มมีอาการไข้สูง ปวดหัว ตัวร้อน ปวดน่องรุนแรง ตาแดง และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิด “ภาวะไตวาย ตับอักเสบ เลือดออกในปอด” ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่ในครั้งนี้ หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่เริ่มออกประกาศเตือนประชาชน เนื่องจากพบพฤติกรรมเสี่ยงจำนวนมาก เช่น เดินลุยน้ำระดับข้อเท้าถึงเอวโดยไม่สวมรองเท้า...อยู่ในน้ำท่วมเป็นเวลานานขณะเคลื่อนย้ายสิ่งของ... ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน อพยพผู้สูงอายุ โดยต้องเดินผ่านน้ำปนโคลนหลายรอบ...บางจุดมีเศษขยะ ซากสัตว์ และน้ำหมักหมมหลายวันก่อนเครื่องสูบน้ำจะเข้าถึง จุดเหล่านี้ล้วนเป็น “แหล่งเชื้อโรคสมบูรณ์แบบ” โดยเฉพาะในเขตชุมชนที่มีหนูจำนวนมากหลายๆคนอาจจะเคยได้ยินเสียงเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อที่ย้ำตรงกันว่า การลุยน้ำท่วมด้วยเท้าเปล่าเทียบได้กับ “การเดินเข้าไปหาต้นตอโรคด้วยตัวเอง” นั่นเป็นเพราะน้ำท่วมทำให้ผิวหนังเปื่อย เชื้อเข้าสู่ร่างกายง่ายขึ้น...โคลนและตะกอนน้ำมีเชื้อโรคมากกว่าน้ำใสหลายเท่าแผลเล็กนิดเดียวก็เสี่ยงติดเชื้อทันที...ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน มีโอกาสติดเชื้อหนักกว่าคนทั่วไป แน่นอนว่าความเสียหายในระลอกน้ำท่วมอาจผ่านไปได้ แต่ “ความเสียหายทางสุขภาพ” มักเริ่มต้นหลังน้ำลด โดยไม่ทันตั้งตัวถึงแม้ว่าสถานการณ์จะกดดัน แต่การป้องกันยังเป็นไปได้ หากประชาชนทำตามข้อแนะนำพื้นฐานนี้อย่างเคร่งครัด อาทิ สวมรองเท้าบูตยาง หรือรองเท้าที่หุ้มมิดชิดทุกครั้ง, หลังสัมผัสน้ำทุกครั้งให้รีบล้างเท้า...ใช้สบู่และน้ำสะอาดเช็ดถูให้ทั่ว เพื่อลดการสะสมของเชื้อ, หากมีบาดแผล ให้ปิดพลาสเตอร์กันน้ำ เป็นต้นการเดินลุยน้ำอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเวลาคับขัน แต่การเดินด้วยเท้าเปล่าคือความเสี่ยงที่ป้องกันได้ง่ายที่สุด...“ภัยสุขภาพไม่ได้อยู่แค่ในวันที่น้ำท่วม แต่เริ่มขึ้นจริงๆในวันที่น้ำเริ่มลด” ป้องกันไว้ก่อน…เพราะชีวิตมีค่าเกินกว่าจะปล่อยให้เชื้อโรคที่มองไม่เห็นพรากไปโดยไม่จำเป็น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม