น้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา ได้สะท้อนให้เห็นช่องโหว่ใหญ่ “ในระบบการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะล้มเหลวเชิงโครงสร้าง” เมื่อธรรมชาติกำลังทวีความรุนแรงเกินกว่ามาตรฐานเดิม และสูงกว่าศักยภาพการรับมือของเมืองจนทำให้ระบบบัญชาการ และการจัดการเกิดการล่มทั้งระบบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ “ยังยึดติดกับข้อมูลอดีตจนไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงในยุคโลกร้อน” ขณะที่ฝ่ายท้องถิ่นกลับติดข้อจำกัดกฎหมายให้ใช้งบได้ “หลังประกาศเขตภัยพิบัติแล้ว” ทำให้การเตรียมการล่วงหน้าไม่ได้ และหลายหน่วยงานก็ไม่กล้าใช้เงินป้องกันก่อนเกิดเหตุ เพราะเกรงถูกตรวจสอบหากใช้แล้วไม่เกิดเหตุจริง ทำให้การประเมินความเสี่ยงถูกทำแบบพอประมาณไม่เพียงพอกับภัยยุคฝนเข้ม-ถี่-รุนแรง กลายเป็นบทเรียนสะท้อนว่าไทยจำเป็นต้องปฏิรูประบบบริหารจัดการภัยพิบัติครั้งใหญ่ก่อนที่ความเสียหายจะยิ่งรุนแรงขึ้นในอนาคต ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะประธานเครือข่าย 19 มหาวิทยาลัยต้านภัยพิบัติ (TNDR) มองว่าน้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้สะท้อนปัญหาการจัดการมากกว่าเรื่องเทคนิคโดยเฉพาะ “การเตรียมการล่วงหน้ายังเป็นจุดอ่อน” เรื่องนี้ไม่อาจโทษคุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ได้ เพราะเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งแล้วท่านก็พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสามารถทำได้เพียงแค่กู้ภัยและฟื้นฟูเบื้องต้น แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างแท้จริงเพราะการลดผลกระทบจากภัยพิบัติ “จำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้าให้ครอบคลุม” ทั้งระบบการป้องกัน และบริหารจัดการก่อนเกิดเหตุ และครั้งนี้นายกฯก็ลงพื้นที่เก็บข้อมูลแล้วควรนำบทเรียนไปวางแผนล่วงหน้าในพื้นที่อื่น “ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุค่อยแก้ปัญหา”ที่ถือว่าพอมีเวลาในการจัดทำแนวทางปฏิบัติให้พร้อมในอนาคตได้แล้วความผิดพลาดครั้งนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยอย่าง “กรณีการโยกย้ายผู้ว่าฯ นอกฤดูกาล” ทำให้คนที่รู้ระบบถูกย้ายออก “ผู้ว่าฯ คนใหม่ยังตั้งตัวไม่ทัน” ส่งผลต่อการทำงานสะดุด ขาดการฝึกซ้อมเฉพาะพื้นที่จนการบริหารเกิดความสับสน ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้การรับมือน้ำท่วมมีประสิทธิภาพลดลงถ้ามาดูบทเรียนจากวิกฤติครั้งนี้ชี้ว่า “ผู้บริหารก็มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน” เพราะการลงพื้นที่แต่ละครั้งมักกระทบต่อระบบงานผู้ปฏิบัติที่ต้องเสียเวลาในการไปต้อนรับ และเบียดบังทรัพยากรที่ควรใช้แก้ปัญหา แต่หากลดพิธีรีตองให้ผู้บริหารอยู่ในจุดที่จำเป็น ทำหน้าที่หลักในการออกคำสั่ง และสนับสนุนในทุกโอกาสซึ่งจะก่อเกิดประโยชน์กว่าการลงเดินลุยน้ำ ผัดกะเพรา ผัดก๋วยเตี๋ยว แม้จะช่วยสร้างขวัญกำลังใจ และแสดงถึงนายกฯเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาแต่ก็เบียดบังเวลาของข้าราชการที่ควรทุ่มไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยนอกจากนี้ “การตั้งศูนย์เฉพาะเหตุฉุกเฉินใหม่” ยังสร้างความสับสนในสายบังคับบัญชาไม่ชัดเจนว่า ใครฟังใคร ใครอนุมัติอะไร ส่งผลให้การปฏิบัติการแต่ละฝ่ายลดลง แต่ถ้าดูตามมาตรฐานสากล ศูนย์บัญชาการที่เกิดเหตุควรเป็นหน้าที่ของท้องถิ่นที่รู้พื้นที่ดีที่สุด “ส่วนกลาง” ควรทำหน้าที่สนับสนุนด้านเงิน คน และเครื่องมือเท่านั้นถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว “ส่วนกลางและท้องถิ่นควรกำหนดบทบาทให้ชัด” ไม่ใช่ตั้งศูนย์ใหม่มาสร้างความสับสนตัวอย่างที่ดีคือ “เหตุถ้ำหลวง” สมัยนั้นคุณอนุทิน อยู่ในฐานะ รมว.มหาดไทย ก็ทำหน้าที่สนับสนุนในการส่งทรัพยากร เช่น เงิน คน อุปกรณ์เท่านั้น แล้วให้ “ผู้ว่าฯ” เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ศูนย์เดียวที่หน้าถ้ำขุนน้ำนางนอน ดังนั้นในอนาคตคงต้องเตรียมการล่วงหน้าในการตั้งศูนย์บัญชาการ เพื่อกำหนดหน้าที่ ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แล้วแต่ส่วนควรเตรียมการฝึกซ้อมก่อนเกิดเหตุ เพราะปัจจุบันสภาพอากาศผิดปกติทั้งปริมาณน้ำ และฝนแช่ตกหนักจาก “ปรากฏการณ์แม่น้ำในอากาศ” ทำให้ต้องกำหนดระดับเตือนภัยน้ำล่วงหน้าให้ชัดเจนในการรับมือถ้าย้อนมาดู “น้ำท่วมหาดใหญ่ฝนมากเกินกรอบประเมินมาก” แต่ไม่อาจอ้างเหตุผลมาแก้ตัวได้ เพราะการรับมือต้องเตรียมล่วงหน้า และปรับเกณฑ์การเตือนภัยให้สูงกว่าหมุดวัดระดับน้ำที่บันทึกไว้ในปี 2553-2557ปัญหาว่า “หลายองค์กรไม่กล้าใช้งบเตรียมการล่วงหน้าขนาดใหญ่” เพราะเมื่อใช้งบประมาณแล้วหากไม่มีเหตุเกิดขึ้นจริง “ผู้ตรวจสอบ” อาจมองเป็นการใช้เงินเกินความจำเป็น ทำให้การประเมินความเสี่ยงทำกันแบบพอดีๆ ส่งผลให้ไม่เพียงพอในสถานการณ์ปัจจุบันที่ปริมาณฝนเข้ม ถี่ แปลกผิดปกติกว่ามาตรฐานทั่วไปแล้วเมื่อเหตุการณ์ในอนาคตคาดเดาไม่ได้ “ผู้พิจารณางบประมาณ” จึงไม่ควรตัดสินด้วยกรอบเดิมที่ไม่อาจสอดคล้องกับความเสี่ยงใหม่ ขณะที่แม้ “ผู้ว่าฯ” มีอำนาจสูงในพื้นที่แต่กลับใช้งบประมาณป้องกันล่วงหน้าได้จำกัด เพราะกฎหมายกำหนดให้ต้องประกาศเขตภัยพิบัติก่อน จึงจะใช้งบประมาณได้ทำให้การเตรียมพร้อมไม่เต็มที่ตามมาเช่นนี้สภาผู้แทนราษฎร และสำนักงบประมาณควรตั้งงบเฉพาะการป้องกันล่วงหน้าให้จังหวัดใช้ได้จริง เพราะที่ผ่านมาแม้ ปภ.จะมีงบประมาณในส่วนนี้กลับแทบไม่ถูกใช้ ในส่วนงบที่ใช้ป้องกันก็มักเป็นงบย่อย เช่น อบรม ฝึกซ้อม จัดทำแผนประชาชน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับป้องกันภัยพิบัติอย่างแท้จริง“การใช้งบเพื่อคาดการณ์และเตรียมพร้อมล่วงหน้าควรทำได้โดยไม่ต้องกังวลเสียงวิจารณ์ เพราะงบป้องกันก่อนเกิดเหตุมีประสิทธิภาพมากกว่าการรอให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยมาแก้แม้บางครั้งใช้จ่ายไปแล้วเหตุไม่เกิดจริง หน่วยตรวจสอบอย่าง สตง.ก็ควรตระหนักว่าการลงทุนเชิงป้องกันเป็นความจำเป็นไม่ใช่ความสิ้นเปลือง” ดร.พิจิตตว่าตอกย้ำไทยไม่เคยมีประสบการณ์ “อพยพคนก่อนเกิดเหตุ” ทำให้การอพยพล่าช้าต่างจากหลายประเทศอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน “อพยพ 6 หมื่นคนได้ในครึ่งวัน” จึงเป็นช่องว่างในระบบรับมือภัยพิบัติของไทยสังเกตน้ำท่วมหาดใหญ่ชี้ให้เห็นว่า “ไทยต้องพัฒนาการอพยพล่วงหน้าให้มีประสิทธิภาพ” แล้วอำนาจสั่งการควรอยู่ที่ท้องถิ่น ที่รู้พื้นที่ดีที่สุดเพียงแต่การตัดสินใจติดปัญหาระบบวัดน้ำ (Tele-metering) ไม่ครอบคลุมลุ่มน้ำย่อย ทำให้ข้อมูลเตือนภัยไม่ครบทุกทิศทาง เป็นอุปสรรคต่อการประเมินสถานการณ์และวางแผนอพยพ ด้วยพื้นที่รอบหาดใหญ่มีลุ่มน้ำกว่า 10 แห่ง “หลายจุดไม่มีมาตรวัด” เพราะไม่เคยเจอน้ำมากมาก่อน ดังนั้นเพื่อให้ท้องถิ่นมีข้อมูลรอบด้าน 360 องศาฯ จะถูกใช้เป็นองค์ประกอบการตัดสินใจอพยพประชาชนล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ จึงจำเป็นต้องติดตั้งเทเลมาตรให้ครบทุกจุด ซึ่งไม่ใช่ต้องให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ตัดสินใจอพยพฉะนั้น ภายใต้สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างสุดขั้วนี้ “จังหวัดเสี่ยงภัยไม่อาจประเมินตามกรอบเดิมได้อีก” ต้องปรับวิธีวางแผนรับมือล่วงหน้าให้เกินกรอบปกติ เพราะการรอแก้ปัญหาเมื่อเหตุเกิดมักสายเกินไปไม่สามารถป้องกันความเสียหายรุนแรงได้แล้ว...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม