สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยิ่งตึงเครียด“หลังทหารไทยเสียขารายที่ 7” จากการเหยียบทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางบนเส้นทางลาดตระเวน กลายเป็นการเติมเชื้อความขัดแย้งปะทุรุนแรงขึ้นแม้ว่าที่ผ่านมาฝ่ายไทยจะพยายามอดทนอดกลั้น “หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกหลุมพรางทางการทูต” แต่กัมพูชากลับยิ่งเพิ่มความเกรี้ยวกราดยั่วยุมากยิ่งขึ้น “เคลื่อนไหวบนโซเชียลฯ” ส่งสัญญาณท้าทายกองทัพไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพจัดเตรียมกำลังประชิดชายแดน หรือจงใจยิงปืนใส่ทหารที่ประจำการในดินแดนของไทยสิ่งนี้ล้วนละเมิดข้อปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชาที่ทำขึ้นรศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา มองว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่ในช่วงล่อแหลมหากปะทะกันอาจเกิดเป็นจุดๆลุกลามขยายวงไปพื้นที่อื่นได้ในมุมมองส่วนตัว “หากต้องการเล่นแบบปลอดภัยกรณีการสู้รบกันบานปลาย” ฝ่ายไทยต้องจำกัดพื้นที่ปะทะให้อยู่ในโซนอีสานใต้ เน้นยึดรักษาจุดยุทธศาสตร์ เช่น ภูมะเขือ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญฝ่ายกัมพูชาอาจผลักดันกำลังเข้าโจมตี ทั้งต้องเตรียมพร้อมด้านกำลังพลสำหรับยึดปราสาทตาควายควบคู่กัน ส่วนพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว “หากกัมพูชายังคงรุกล้ำก็ต้องรับมือภายในพื้นที่นั้นด้วย” แต่การปะทุอาจเกิดทีละจุดไม่พร้อมกัน และจะสงบลงก่อนลุกขึ้นใหม่ก็ได้ ยกเว้นแต่การสู้รบจะขยายไปสู่พื้นที่ทะเล โดยเฉพาะชายฝั่ง จ.ตราดก็เข้าใกล้สงครามเต็มรูปแบบมากขึ้นอันจะเกิดแนวรบหลายมิติเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดประเด็นที่ว่า “ไทยอาจถูกมองเป็นผู้ร้ายในสายตานานาชาติหรือไม่” ถ้าย้อนดูในช่วงแรกของความตึงเครียดไทย-กัมพูชานั้นกระแสต่างประเทศก็จับจ้องมองว่า “ไทยเป็นประเทศใหญ่รังแกประเทศเล็ก” แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดบริบท และข้อมูลถูกเผยแพร่สู่สาธารณะเยอะขึ้นจนสถานการณ์เปลี่ยนไปในปัจจุบันชาวโลกเริ่มเห็นว่า “กัมพูชาบิดเบือนข้อมูลเยอะ” แล้วเหตุการณ์บางอย่างก็ถูกมองเป็นการจัดฉากขึ้นหลายครั้งและในช่วงที่ผ่านมาก็เพิ่งถูกกระชากหน้ากากว่าเป็นรัฐแห่งอาชญากรรมสแกมเมอร์ส่งผลต่อภาพลักษณ์ติดลบพอสมควรแล้วมีกรณีการวางทุ่นระเบิดล่าสุดฝ่าย AOT เริ่มให้น้ำหนักไปทิศทางว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่แต่ว่ากัมพูชาพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า “ทหารไทยยิงพลเรือนบ้านเปรยจัน จ.บันเตียเมียนเจย” ทำให้ต้องมีการตรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริงจนจับโป๊ะแตกฝ่ายกัมพูชาได้ กลายเป็นภาพลักษณ์ของฝ่ายไทยตอนนี้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับหลายเดือนก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายไทยได้เปรียบเพราะกัมพูชายังคงเดินเกมเชิงรุกอยู่ตลอด ดังนั้นเรื่องเฟกนิวส์ “ฝ่ายไทยต้องตอบโต้ให้ทันท่วงที” ซึ่งในช่วงหลังมานี้ก็ทำได้ดีขึ้นแต่ยังไม่ถึงขั้นได้เปรียบกัมพูชาในทางด้านสงครามข้อมูลข่าวสาร แต่อย่างไรก็ดีไทยก็ยังไม่ได้อยู่ในภาวะเสียเปรียบมากนักความจริงสถานการณ์ในกัมพูชามี 2 มิติ คือ มิติแรก..“ความขัดแย้งชายแดน” หากไทยเริ่มศึกก่อน อาจถูกนานาชาติวิพากษ์กับการเผชิญหน้าทางทหารของความมั่นคงแบบเก่า มิติที่สอง..เรื่องสแกมเมอร์ อาชญากรรมข้ามชาติภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ ซึ่งไทยสามารถใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศกดดันกัมพูชาได้ ซึ่งเรื่องนี้ “ไทย” อาจจะต้องแสดงบทบาทของการเป็นศูนย์กลางการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และชี้ให้เห็นว่ากัมพูชามีส่วนเกี่ยวข้องจึงไม่อาจจะสรรเสริญได้ “ในด้านดินแดน” อันเป็นการเผชิญหน้าทางทหารก็เพื่อรักษาอธิปไตยไทยเพียงแต่การจัดการต้องจำกัดอยู่บางพื้นที่สำคัญเท่านั้นทว่าในสถานการณ์เสี่ยงเช่นนี้ “ไทยควรวางท่าทีให้ได้เปรียบในการรักษาอธิปไตย” ด้วยการประกาศให้โลกเห็นว่า “เรารักสันติภาพ” แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากกัมพูชาเช่นกัน ถ้าหากไม่แสดงเจตนาร่วมมือ และยังบิดพลิ้ว ยั่วยุ หรือโจมตีเล็กๆอยู่ตลอด “ไทย” ต้องตอบโต้ด้วยกำลังในระดับที่เหมาะสมเพื่อป้องกันตัวเองทั้งต้องกำหนดยุทธศาสตร์แต่ละพื้นที่ เช่น ชายแดนอีสานใต้ เทือกเขาพนมดงรัก ก็ต้องมีวิธีรับมือเฉพาะ และชายแดน จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี จ.ตราด ก็ต้องมีการป้องกันอีกแบบโดยกองทัพบกทำหน้าที่กำกับดูแล ส่วนพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย “ก็ต้องเป็นยุทธศาสตร์ที่ทหารเรือเป็นผู้นำ” โดยมีกองทัพภาคแต่ละพื้นที่รับผิดชอบสิ่งสำคัญคือ “การวางระบบความมั่นคงแบบแบ่งเลเยอร์” เพื่อปกป้องประชาชน เนื่องจากภัยคุกคามในแต่ละพื้นที่ของประเทศมีความรุนแรงต่างกัน เช่น ภาคอีสานแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.อีสานใต้ เสี่ยงสูงสุด 2.อีสานตอนกลางแม้ไกลแต่จรวด PHL-03 ก็ไปถึงจ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด ต้องมีระบบป้องกันและแนวหลังช่วยประชาชนถัดมา “ด้านการทูต” ต้องหลีกเลี่ยงเป็นศัตรูกับมหาอำนาจรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ-จีนไว้ และแสดงจุดยืนว่าไทยไม่ง่ายหากประเทศใดไม่ให้ความยุติธรรม “เข้าข้างกัมพูชา” ก็ใช้ยุทธศาสตร์การทูตเพิ่มการต่อรอง 3 ขา คือ ขาแรก..การทำงานกับสหประชาชาติ นำเสนอข้อมูลต่อคณะมนตรีความมั่นคง และสมัชชาใหญ่ให้มากขาที่สอง..ทำงานกับรัฐภาคีอนุสัญญา เพื่อประณามกัมพูชาเพราะด้วยที่ผ่านมาไม่มีประเทศใดตอบสนองการละเมิดเลยแม้แต่เรื่องทุ่นระเบิดก็ตาม ขาสุดท้าย..ทำงานกับอาเซียน ในการรักษาความสัมพันธ์กับมาเลเซียและดึงฟิลิปปินส์มามีบทบาทโดยอธิบายถ่ายเทข้อมูลให้ทราบ เพราะฟิลิปปินส์จะเป็นประธานอาเซียนถัดไป ไม่เท่านั้นต้องติดต่อกับเวียดนามให้มากขึ้น เพื่อกดดันกัมพูชาแบบแซนด์วิชระหว่างไทย-เวียดนามเพราะเวียดนามมีอิทธิพลในอินโดจีนมากกว่ามาเลเซีย เมื่อรวมยุทธศาสตร์การทูตทั้งสามขาก็จะกดดันได้ดียิ่งขึ้นสุดท้ายในระยะยาว “การหยุดยั้งความก้าวร้าวแบบถาวรคงเป็นไปไม่ได้” เพราะกัมพูชาเป็นปฏิปักษ์ต่อเราจึงมีทางเลือกเดียวคือ “ป้องกันตัวเอง” เพียงแต่ไทยต้องใช้กำลังแสนยานุภาพกองทัพสกัด หรือกำราบอย่างจริงจังก็จะหยุดยั้งกัมพูชาได้ชั่วคราว แต่พอเวลาผ่านไปเมื่อเขาฟื้นตัวขึ้นก็อาจกลับมาก้าวร้าวอีกเหมือนเดิมในทางกลับกัน “ถ้าฝ่ายไทยไม่ทำอะไรเลย” ยิ่งทำให้เสียเปรียบกัมพูชาจะเข้ามาแย่งอาณาเขตหรือสร้างสงครามประสาทให้เราอยู่ไม่ได้ ดังนั้นไทยต้องปักธงเคารพสันติภาพอันเป็นเกราะป้องกันในสายตาโลกไม่ให้ถูกวาดภาพเป็นฝ่ายก้าวร้าว ทั้งต้องตอบโต้ทางทหารอย่างชาญฉลาดจะช่วยบังคับกัมพูชาลดพฤติกรรมก้าวร้าวลงได้ฉะนั้น การเจรจาหยุดยิง และการพัฒนาสันติภาพให้เดินหน้านั้น “เป็นทางเลือกที่จำเป็นต้องทำ” เพราะบางครั้งความขัดแย้งขนาดเล็ก (lowscale conflict) เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้กับเพื่อนบ้านที่มีแนวคิด หรือวัฒนธรรมก้าวร้าวในเชิงทางยุทธศาสตร์แบบนี้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม