กองทัพไทยเผยผลตรวจสอบของคณะ AOT เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่ภูมะเขือ จนเสียขาที่ 7 ยืนยัน “ของใหม่-วางใหม่” ที่สำคัญทุกจุดที่เจอทุ่นระเบิดอยู่ในแผ่นดินไทย ขณะที่ ทภ.2 ยอมรับโดนทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาฉกลวดหนามหีบเพลงไปจริง พื้นที่รอยต่อ “ช่องระยี-ช่องเปรอ” อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ทหารไทยเน้นเข้าเจรจาจนทหารกัมพูชาล่าถอยกลับไปเองพร้อมลวดหนามฯ ไม่มีการติดตาม ระบุประเมินสถานการณ์แล้วเสี่ยงถูกลอบวางทุ่นระเบิด-ล่อทหารเข้าพื้นที่สังหาร ขณะเดียวกันพบกัมพูชาใช้อาคารกาสิโนตามแนวชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการ-ที่กำบังทางทหาร รวมถึงตั้งโดรนบินสอดแนมฝ่ายไทยกองทัพไทยรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดได้รับบาดเจ็บ 4 นาย หนึ่งในนั้นมีอาการสาหัสข้อเท้าขาด 1 ราย เป็นรายที่ 7 ของปีนี้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา บริเวณภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในวันที่ 24 พ.ย. กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) ออกประกาศเปิดเผยรายงานผลการตรวจสอบของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (ASEAN Observer Team- Thailand : AOT-TH) ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว โดยผลการสังเกตการณ์ยืนยันชัดเจนว่า ทุ่นระเบิดที่พบเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 ที่ถูกฝังใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าตามที่กองทัพกัมพูชาอ้างแต่อย่างใดบก.ทท.ระบุอีกว่า คณะ AOT-TH ลงพื้นที่ทันทีหลังเกิดเหตุ และจากการประเมินสภาพหน้าดิน รูปแบบการวางทุ่น และร่องรอยการฝัง พบว่าทุ่นระเบิด PMN-2 ถูกฝังในช่วงเหตุปะทะล่าสุด ลักษณะตรงกับทุกเหตุการณ์ก่อนหน้าในความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ทุ่นระเบิด PMN-2 ที่พบในแต่ละครั้งล้วนเป็นการฝังใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าที่ตกค้างตามคำกล่าวอ้างของฝ่ายกัมพูชา และจากการตรวจสอบของหน่วยวิศวกรรมร่วมกับ AOT-TH ยังพบสัญญาณบ่งชี้ว่าพื้นที่ดังกล่าวอาจมีการฝังทุ่นระเบิดเพิ่มเติม และยังไม่สามารถเข้าดำเนินการเก็บกู้ได้ในทันที เนื่องจากความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่นอกจากนี้ คณะ AOT-TH ได้ยืนยันพิกัดจุดพบทุ่นระเบิดทุกจุดด้วย GPS โทรศัพท์มือถือ (Google Map) ร่วมกับแผนที่ภูมิประเทศอย่างเป็นระบบ ผลการตรวจสอบชัดเจนว่า ทุกตำแหน่งอยู่ในดินแดนของไทยทั้งหมด ไม่มีจุดใดอยู่นอกเขตแดนไทย ที่สำคัญหัวหน้าคณะ AOT-TH ได้ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของทหารกัมพูชา ถูกทิ้งไว้ขณะถอนกำลังบริเวณภูมะเขือ ภายในโทรศัพท์พบภาพถ่าย วิดีโอ และข้อมูลการลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ที่เป็นของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน มีภาพการวางและขุดฝังทุ่นระเบิด PMN-2 รวมถึงภาพการปฏิบัติของทหารกัมพูชาในพื้นที่ ถือเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันได้ว่าทุ่นระเบิดถูกฝังโดยฝ่ายกัมพูชาในเขตแดนไทย คณะสังเกตการณ์ยังระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวเคยใช้เป็นฐานปฏิบัติการส่วนหน้าในช่วงการปะทะ และมีความเป็นไปได้สูงว่าทุ่นระเบิดถูกฝังในห้วงสถานการณ์ความตึงเครียดล่าสุด ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าที่เหลืออยู่ในพื้นที่ตามการชี้แจงของฝ่ายกัมพูชาบก.ทท.ขอย้ำว่า ข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่มาจากการสังเกตการณ์โดยตรง หลักฐานทางกายภาพ พิกัดภูมิศาสตร์ ภาพถ่าย วิดีโอ และการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ โดยคณะ AOT-TH ซึ่งมีความเป็นกลาง โปร่งใส และปฏิบัติตามมาตรฐานสากลทุกขั้นตอน โดยประเทศไทยปฏิบัติตามทุกข้อตกลงภายใต้กรอบกลไกทวิภาคี พร้อมดำเนินงานตามหลักสันติวิธี ความโปร่งใส และมาตรฐานสากลมาโดยตลอด ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยยังพบพฤติการณ์จากฝ่ายกัมพูชาที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในหลายเวทีการหารือ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการเจรจาและความเชื่อมั่นในกลไกความร่วมมือต่อมากองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่เอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีวิดีโอทหารกัมพูชานำลวดหนามหีบเพลงออกจากพื้นที่ชายแดน พร้อมกล่าวอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของทหารไทย จากการตรวจสอบของหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กองกำลังสุรนารี ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงในพื้นที่รอยต่อระหว่าง ช่องระยี-ช่องเปรอ อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 เวลาประมาณ 09.00 น. ขณะกองร้อยทหารพรานที่ 2101 ปฏิบัติภารกิจวางแนวรั้วลวดหนาม เพื่อควบคุมพื้นที่และป้องกันการรุกล้ำจากฝ่ายกัมพูชา เจ้าหน้าที่ชุดที่กำลังปฏิบัติงานได้รับรายงานจากชุดระวังป้องกันว่า มีกำลังทหารกัมพูชาประมาณ 20 นาย เคลื่อนที่เข้ามาใกล้จุดปฏิบัติงาน มีการหยุดภารกิจชั่วคราวและจัดกำลังที่ออกปฏิบัติงานเข้าไปเจรจา อยู่ห่างจากจุดวางลวดหนามประมาณ 200 เมตรจากการพูดคุยนานประมาณ 20 นาที ทหารกัมพูชาถอนกำลังกลับไปยังพื้นที่ของตัวเอง แต่เมื่อหัวหน้าชุดทหารพรานได้นำกำลังที่เข้าไปเจรจากลับมายังจุดเดิม พบว่าลวดหนามหีบเพลงที่เตรียมไว้สำหรับวางแนวควบคุมได้หายไป หลังจากตรวจพบว่าลวดหนามสูญหาย หน่วยได้ควบคุมพื้นที่วางกำลังป้องกันโดยรอบ และได้มีการตรวจสอบวัตถุระเบิดในพื้นที่อย่างละเอียดปัจจุบันหน่วยวางกำลังควบคุมพื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้วและได้นำลวดหนามใหม่เข้าไปติดตั้งและพร้อมปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จากการประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อการซุกซ่อนวัตถุอันตราย เช่น กับระเบิดและทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (PMN-2) เป็นต้น และอาจเป็นเล่ห์เหลี่ยมของทหารกัมพูชาที่หลอกล่อให้ทหารเราติดตามเข้าไปในพื้นที่สังหาร ทั้งนี้ ทุกการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจริงในพื้นที่ และให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยของผู้ใต้บังคับบัญชาในระหว่างปฏิบัติหน้าที่วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และคณะมอบอากาศยานไร้คนขับ (Drone) 100 ลำ รวมมูลค่า 19 ล้านบาท ให้กับ กองทัพบกเพื่อสนับสนุนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีพลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นตัวแทนผู้รับมอบ และมีพลโท บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีทั้งนี้ หน่วยงานความมั่นคงเปิดเผยความเคลื่อนไหวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ามีการตรวจพบฝ่ายกัมพูชาใช้อาคารกาสิโนตามแนวชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร โดยใช้เป็นฐานที่ตั้งของโดรนเพื่อปฏิบัติการกับฝ่ายไทย ซึ่งปัจจุบันนี้พบว่าฝ่ายกัมพูชาใช้โดรนในการบินสอดแนมฝ่ายไทย อีกทั้งอาคารกาสิโนเป็นคอนกรีตแข็งแรง จึงใช้เป็นที่กำบังทางทหารอีกด้วยสำหรับความคืบหน้าการสำรวจปักหมุดชั่วคราวร่วมไทย-กัมพูชา ช่วงที่ 1 บริเวณระหว่าง หลักเขตที่ 42 ถึง 43 บ.หนองหญ้าเเก้ว อ.โคกสูง จ.สระเเก้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิร่วมกัน รวมระยะทางสำรวจ 7 กิโลเมตร ผลการทำงาน ณ เวลา 14.00 น. วันที่ 24 พ.ย. รังวัด GPS หมุดควบคุม (GCP) ดำเนินการได้ 64 จุด บินโดรนถ่ายภาพ: ดำเนินการได้ระยะทาง 4,800 เมตรอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่