"อโลนา ฟิชเชอร์–คัมม์" เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ยังกล่าวถึงวันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล วันที่ 25 พ.ย.นี้ว่า มีต้นกำเนิดเพื่อรำลึกถึง การสังหารบุตรสาวสามคนของตระกูลมิราบัลในสาธารณรัฐโดมินิกันอย่างโหดเหี้ยมในปี 2503 ซึ่งเป็นเรื่องราวของสตรีที่กล้าลุกขึ้นต่อต้านระบอบการปกครองที่ใช้ความรุนแรง กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้และการเรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติและปัจจุบันนี้ ขบวนการ #MeToo ซึ่งเริ่มต้นจากเสียงกระซิบและกลายเป็นเสียงดังกึกก้องไปทั่วโลก สอนให้รู้ว่าความเงียบคือการปกป้องผู้กระทำผิด ขบวนการนี้ทำให้ผู้หญิงทั่วโลกกล้าที่จะพูด เชื่อใจซึ่งกันและกัน และเรียกร้องความรับผิดชอบ และยืนกรานว่าไม่ควรมีใครอยู่เหนือหลักศีลธรรมที่ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์“เรารำลึกถึงความสำคัญของวันนี้ ความรับผิดชอบของเราก็ชัดเจน รัฐบาลภาคประชาสังคม สื่อมวลชน และเราทุกคนต้องร่วมมือกันต่อสู้กับความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่บ้าน ที่ทำงาน หรือในสมรภูมิรบ เราต้องปลูกฝังเด็กชายและผู้ชายให้เคารพผู้หญิง ให้เห็นว่าสตรีก็เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เราต้องออกกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองเหยื่อด้วยความเห็นอกเห็นใจ รวมถึงการลงโทษผู้กระทำผิดโดยไม่มีข้อยกเว้น เราต้องยืนหยัดต่อต้านมิให้ความรุนแรงทางเพศเป็นเรื่องปกติที่นำเสนอทางสื่อและวาทกรรมทางการเมือง การต่อสู้เพื่อความปลอดภัยของสตรีนั้น ต้องไม่แยกออกจากการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และสันติภาพ”เรื่องราวของพี่น้องมิราบัลทำให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง คำบอกเล่าของผู้หญิงทั่วโลกย้ำเตือนเราว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุด แต่ขอให้เรามั่นใจว่าเด็กหญิงรุ่นต่อๆไปในอนาคต จะเติบโตในโลกที่ความกลัวถูกแทนที่ด้วยเสรีภาพ และความเมินเฉยถูกแทนที่ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เมื่อเรายืนหยัด ร่วมมือกัน โดยไม่มีพรมแดน ศาสนาและอุดมการณ์มาเกี่ยวข้อง เรากำลังยืนยันความจริงอันเรียบง่ายและเป็นสากล นั่นคือสตรีทุกคนคู่ควรกับการมีชีวิตที่ปราศจากความรุนแรง และการปกป้องสิทธิสตรีจะทำให้สังคมโลกแข็งแกร่งยิ่งขึ้น.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม