ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาร้อนระอุอีกครั้ง “เมื่อทหารไทยออกลาดตระเวนไปเหยียบทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชา” ที่ลักลอบวางไว้บริเวณห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ตรงข้ามปราสาทพระวิหาร ทำให้ทหารไทยขาขาดเป็นรายที่ 7เหตุการณ์นี้ “อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย” ได้ประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพ ไทย-กัมพูชาทำขึ้นในกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียที่มีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน เพราะเป็นการละเมิดปฏิญญา และแสดงความเป็นปรปักษ์ไม่นาน “สหรัฐฯ” ก็บีบด้วยการระงับการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ชั่วคราวจนกว่าไทยจะกลับมาในวงปฏิญญาสันติภาพก่อนกลับลำไม่ระงับเจรจาภาษีแล้ว รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา มองว่า ถ้าดูข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชาลงนามนั้น “ทรัมป์ และอันวาร์เป็นสักขีพยาน” ทำให้เวลาไทยมีท่าทีแข็งกร้าว หรือเผชิญหน้าทางทหารกับกัมพูชาต้องคำนึงถึงบทบาทของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในพิธีลงนามด้วยแต่ข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ก่อให้เกิดภาระผูกพันใดๆ “เพียงแต่ไทยต้องประเมินผลประโยชน์อย่างรอบด้าน” โดยเฉพาะการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ต้องดำเนินอย่างมีชั้นเชิงแล้วหนึ่งในทางเลือกสามารถพิจารณาได้คือ “การเตรียมขยายหาตลาดใหม่” หากกรณีทรัมป์กดดันเรื่องภาษีการค้าจนเกินระดับที่ไทยยอมรับได้ประเด็นนี้สอดคล้องกับ “สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน” ประกาศจะรับซื้อข้าวจากไทยกว่า 5 แสนตัน ซึ่งเป็นความสำเร็จเชิงสัญลักษณ์สะท้อนให้เห็นว่า “จีนพร้อมเป็นตลาดทางเลือกใหม่” แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยจะหันหลังให้สหรัฐฯ เพียงแต่พยายามจะรักษาสมดุลอำนาจให้ตลาดหลักมีความหลากหลายมากขึ้นแม้ว่าจีนจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น “ไทยก็ไม่ได้หันหลังให้สหรัฐฯ” เรายังคงเจรจาเรื่องภาษีในกรอบเดิม เพียงแต่ต้องการให้สหรัฐฯปรับท่าทีไม่ผูกประเด็นภาษีเข้ากับกระบวนการสันติภาพด้านความมั่นคง แล้วสหรัฐฯก็ไม่ถึงขั้นตัดสิทธิ์การหารือด้านภาษีกับไทย ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มจะมีสัญญาณเชิงบวกแล้วคงต้องรอดูทิศทางต่อไปส่วนท่าทีตามแนวชายแดน “ไทยต้องพยายามจำกัดวงความขัดแย้ง” แต่ไม่ใช่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารกับกัมพูชา เพียงแค่ควบคุมไม่ให้สถานการณ์ลุกลามเกินกรอบที่จำเป็น เพราะยังเร็วเกินไปที่จะเปิดสงครามเต็มรูปแบบ “ระดมกำลังโจมตีกัมพูชา” แต่หากจำเป็นใช้กำลังทางทหารก็ควรจำกัดพื้นที่เฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิด “ไทยต้องเก็บกู้เองไม่พึ่งกัมพูชา” ขณะที่บางจุดอย่างปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถดำเนินมาตรการยืนยันสิทธิอธิปไตยของไทยได้ในระยะนี้ก็ควรทำ และหากสามารถยึดพื้นที่กลับคืนมา “ไทยต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิดเอง” แล้วต้องไม่ส่งกำลังทหารไปตั้งฐานในตัวปราสาทเพื่อแสดงว่า “ไทยไม่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และเจนีวา” อันเป็นประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชากำลังถูกวิจารณ์อยู่ก่อนแล้ว ขณะเดียวกันไทยก็ควรจำกัด และกดดันกัมพูชาให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ทั้งต้องลดเป้าหมายในการเป็นศัตรูกับมหาอำนาจ รวมถึงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับประเทศอื่น เพื่อลดจำนวนศัตรูให้น้อยที่สุดเรื่องนี้มองว่า “ไทยไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ” แต่ควรแสดงให้เขาเห็นว่าเรามีทางเลือกอื่น เช่น จีน รัสเซีย หรือประเทศอื่นๆ สามารถชดเชยทางตลาดได้ รวมถึงมีดีลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับประเทศอื่นอยู่ ประเด็นน่าสนใจคือ “ไทยควรเรียกร้องต่อนานาชาติได้แล้ว” โดยเฉพาะเรื่องสันติภาพควรอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม “หากทรัมป์ต้องการรางวัลโนเบลสันติภาพ” ก็ต้องมีบทบาทเชิงบวกควรเข้าใจว่า “สันติภาพไม่ใช่การนำภาษีมาบีบบังคับ” แต่ควรเข้ามาอำนวยความสะดวกให้ประเทศที่เผชิญกับความอยุติธรรมอย่างเช่นไทยเผชิญกับ “กัมพูชาละเมิดอนุสัญญา” ไม่ว่าจะนำอาวุธ BM-21 มาทำลายชีวิตพลเรือนกลับไม่มีใครลงโทษ หรือถูกกดดันใดๆ ดังนั้นสหรัฐฯควรสร้างความมั่นใจว่าไทยสามารถหยิบประเด็นความยุติธรรมระดับโลกในระเบียบโลกใหม่มาใช้ได้ แต่ความจริงสหรัฐฯกลับมองข้าม ไม่ได้ประณามกัมพูชาแล้วเลือกมากดดันไทยดังนั้นถ้าทำให้สหรัฐฯเข้าใจเห็นใจในบริบทนี้ “ไทยก็จะสามารถใช้มาตรการที่เข้มแข็งในการจัดการกับกัมพูชาได้มากขึ้น” ส่วนท่าทีสหรัฐฯ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หลายคนมองว่าเป็นการถ่วงดุลอำนาจกับจีน แต่ความจริงแล้วสหรัฐฯ และจีนต่างก็พิจารณาทั้งไทย และกัมพูชาไปพร้อมกัน ไม่สามารถเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ “แม้จีนจะเพิ่มการช่วยไทยก็ไม่อาจตัดขาดกัมพูชาได้ ขณะที่สหรัฐฯอยากมีบทบาทในกัมพูชาก็ติดอิทธิพลจีนเข้มแข็งอยู่ก่อน ดังนั้นสนามแข่งขันในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การให้ความสำคัญแค่กัมพูชาถือว่าเล็กเกินไป ทำให้สหรัฐฯต้องคิดเผื่อพื้นที่แข่งขันในไทยที่เป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์มาตั้งแต่สงครามเย็นด้วย” รศ.ดร.ดุลยภาค ว่าเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้ “สหรัฐฯจะตัดไทยออก” เพราะถ้าตัดขาดไปก็จะปล่อยให้ประเทศอื่นเข้ามาแทนที่ก็ยิ่งจะเสียอิทธิพลทั้งหมด ดังนั้นเรื่องนี้เป็นแค่ฝ่ายกัมพูชาสร้างภาพออกมาให้เห็นว่าสหรัฐฯอยู่ฝ่ายเขามากกว่า ถ้าพิจารณาความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯที่มีมิติหลายด้านอย่างรอบคอบก็จะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไปเลือกกัมพูชา เพียงแต่ว่า “บางคนติดกับดักสงครามข้อมูลข่าวสาร” ซึ่งกัมพูชาสร้างภาพออกมาให้ดูเหมือนสหรัฐฯเลือกฝ่ายกัมพูชา เรื่องนี้ถ้าไทยยกระดับการสื่อสาร เพื่อแสดงว่าเราไม่ได้หักหลังสหรัฐฯ และมีการเจรจาเป็นประโยชน์จะช่วยให้ประเทศอื่นมาแทรกแซงไทยได้ยาก แถมจะจำกัดวงจัดการกัมพูชาในเชิงแข็งกร้าวได้มากขึ้นด้วยแล้วการที่สหรัฐฯ “ระงับการเจรจาภาษีชั่วคราว” ก็เป็นเหมือนกรณีไทยชะลอปฏิญญากับกัมพูชา เพื่อรอเช็กสถานการณ์และความชัดเจนก่อนดำเนินการต่อ ซึ่งสหรัฐฯอาจตกใจต่อท่าทีหยุดปฏิญญาชั่วคราวไว้ ซึ่งปัจจุบันมีสัญญาณเชิงบวกว่า “สหรัฐฯ ต้องการขอเวลาคุยกับไทย” เพื่อเปิดโอกาสให้เจรจาอย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้นฉะนั้นตอนนี้ทุกฝ่ายหยุดเพื่อดูท่าทีหลังเกิดเหตุไม่คาดคิด “สหรัฐฯ” ก็ไม่ได้ทิ้งไทยแต่กำลังรีเช็ก “กัมพูชา” พยายามสร้างภาพว่ามหาอำนาจอยู่ฝ่ายเดียว “ไทย” ยังคงมีอำนาจต่อรองหากสื่อสารกับมหาอำนาจอย่างถูกจังหวะ สิ่งนี้คือบริบทใหญ่ของสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม