วันเสาร์สบายๆวันนี้ไปคุยเรื่อง "หุ้น" กันนะครับ ผมฟังเสียงบ่นเรื่องตลาดหุ้นไทยมานานแล้ว ดัชนีหุ้นแกว่งอยู่ที่ 1,290–1,300 กว่าจุด มาเป็นปีแล้ว ทำให้นักลงทุนสิ้นหวังกับอนาคตตลาดหุ้นไทย ทั้งที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดก็มีผลประกอบการดี มีกำไรดี มีการจ่ายเงินปันผลมากมาย แต่ดัชนีหุ้นกลับไม่ขยับไปไหน ปัญหาใหญ่ของตลาดหุ้นไทยวันนี้ ไม่น่าเชื่อนะครับ ติดอยู่ที่หุ้น DELTA เพียงตัวเดียว ซึ่งมีน้ำหนักในการคำนวณดัชนี SET สูงถึง 15–17% ทำให้ดัชนีราคาหุ้นที่แท้จริงถูก “บิดเบือน” จากราคาหุ้นของเดลต้าตัวอย่างล่าสุดวันพุธ (12 พ.ย.) ดัชนี SET ปิดที่ 1,284.81 จุด ลดลง 15.66 จุด จากราคาที่ลดลงของหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเดลต้าลดลง 3 บาท ปิดที่ 214 บาท ขณะที่ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ (11 พ.ย.) ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 48,254.82 จุด ดัชนีปิดสูงกว่า 48,000 จุดเป็นครั้งแรกผมมีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารในตลาดทุน รวมทั้งตลาด หลักทรัพย์ ต่างก็บ่นถึงปัญหาหุ้นเดลต้าที่เป็นตัวถ่วงดัชนี แต่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรให้สะเด็ดน้ำ หุ้นเดลต้ามีมาร์เกตแคปใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ มีมูลค่าตลาดสูงถึง 2.68 ล้านล้านบาท ทำให้มีสัดส่วนน้ำหนักต่อการคำนวณดัชนี SET สูงถึง 15–17% วันนี้ผมเลยขอเสนอไอเดียต่อตลาดหลักทรัพย์เพื่อพิจารณาให้สร้าง “ดัชนี SET ตัวใหม่” ที่ “ไม่มีหุ้น DELTA” อยู่ในดัชนี เพื่อให้ดัชนีหุ้นตัวใหม่สะท้อนสภาพตลาดหุ้นไทยที่แท้จริง ผมเชื่อว่าจะทำให้ดัชนีหุ้นไทยสะท้อนสภาพตลาดจริงได้มากขึ้น ทำให้ตลาดน่าลงทุนมากขึ้นความจริง การเพิ่มดัชนีหุ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ก็มีดัชนีหุ้นหลายตัวอยู่แล้ว เพื่อสะท้อนสภาพของตลาดแต่ละกลุ่ม เฉพาะหน้าแรกในเว็บตลาดหลักทรัพย์มีถึง 12 ดัชนี ตั้งแต่ SET, SET50, SET100, SET ESG ไปจนถึง SET TRI ดัชนีผลตอบแทนรวม นอกจากนี้ยังมีดัชนีตามกลุ่มอุตสาหกรรมแยกย่อยลงไปอีกต่างหากดังนั้น การมี “ดัชนีหุ้นใหม่” เพิ่มมาอีกหนึ่งดัชนี ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่จะช่วยปลดล็อกปัญหาหุ้นเดลต้า จะตั้งชื่อว่า “ดัชนี SET ex DELTA” หรืออะไรก็ได้ที่สื่อสารให้นักลงทุนทราบว่า เป็นดัชนีหุ้นที่ไม่รวมหุ้นเดลต้า ส่วนดัชนีเดิมที่มีหุ้นเดลต้าอยู่ด้วย ก็ยังคงให้มีอยู่อย่างเดิม ผมเชื่อว่า “ดัชนีหุ้นใหม่ที่ไม่มีเดลต้า” จะช่วยให้ดัชนีหุ้น SET สะท้อนสภาพตลาดหุ้นได้ถูกต้องมากขึ้น โดยไม่ถูกบิดเบือนจากราคาหุ้นเพียงตัวเดียว ตลาดหลักทรัพย์ควรเร่งแก้ปัญหาตรงนี้ เพื่อให้นักลงทุนสบายใจ และ ช่วยให้ดัชนี SET ไม่ถูกครอบงำโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ใน DELTA เพียงไม่กี่คนอีกด้วยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีหลากหลายดัชนี อาทิ Dow Jones Industrial, S&P 500, NASDAQ แยกกันชัดเจน หุ้นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมต่างๆจะรวมอยู่ในดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดัชนีหุ้น Dow Jones เป็นดัชนีหุ้นบริษัทขนาดใหญ่เพียง 30 บริษัทเท่านั้น เช่น NVIDIA มูลค่าตลาด 4.71 ล้านล้านดอลลาร์ Apple มูลค่าตลาด 4.04 ล้านล้านดอลลาร์ Microsoft มูลค่าตลาด 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ Amazon มูลค่าตลาด 2.61 ล้านล้านดอลลาร์ JPMorgan มูลค่าตลาดกว่า 872,000 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 30 ตัวเล็กสุดในดัชนีก็ยังมีมูลค่าตลาดสูงถึง 63,830 ล้านดอลลาร์ กว่า 2 ล้านล้านบาท มูลค่าตลาดหุ้นดาวโจนส์เมื่อ 11 พ.ย. อยู่ที่ 22.84 ล้านล้านดอลลาร์ ราว 730 ล้านล้านบาท มีรายได้จากผลประกอบการ 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ ราว 140 ล้านล้านบาท การเอาหุ้นขนาดใหญ่มาอยู่รวมกัน การคำนวณดัชนีจะสะท้อนตลาดไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่เอาหุ้นที่มีมูลค่าตลาด 2.68 ล้านล้านบาท มาคำนวณดัชนีร่วมกับหุ้นที่มีมูลค่าตลาดไม่กี่พันกี่หมื่นล้านบาทผมคิดว่า ตลาดหลักทรัพย์น่าจะลองทำดูนะครับ แล้ว เทียบกับดัชนี SET ว่ามีผลแตกต่างอย่างไร ถ้าเป็นผลดีก็น่าจะเพิ่มดัชนีอีกตัว เพื่อไม่ต้องกังวลกับหุ้น DELTA อีกต่อไปเมื่อมาตรการจำกัดและลงโทษไม่ได้ผล ลองแก้ปัญหาในเชิงบวกด้วยการเพิ่มดัชนี น่าจะเป็นทางออกที่ดีเหมือนดัชนีต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว ลองทำดูครับ.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม