อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม เปิดประเด็นเหตุผลสำคัญที่ต้องมีการพิจารณาทบทวนปรับปรุง พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2562 อีกครั้งนั้น มาจาก “ความสมดุล” ที่ยังไม่ลงตัว....ระหว่าง “การส่งเสริมการลงทุน” และ “การคุ้มครองความปลอดภัย/สิ่งแวดล้อม” พุ่งเป้าไปที่...ช่องทางการตั้ง “โรงงานสีเทา” ได้ง่ายใน “ประเทศไทย” กรณีนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า...คนในส่วนราชการรู้ดี?“ทุนสีเทา” เกิดจากกฎหมายที่เอื้อการลงทุน เช่นคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 4/2559 ตั้งโรงงานบางประเภท เช่นการคัดแยกรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมโดยยกเว้นผังเมือง เป็นต้น และข้าราชการท้องถิ่นและหน่วยงานอนุญาตที่อำนวยความสะดวกทำให้ทุนโรงงานสีเทามาตั้งโรงงานในพื้นที่ชุมชนได้ง่ายมากขึ้นคำถามสำคัญมีว่า...ช่องทางการตั้งโรงงานที่ง่ายขึ้นเกิดจากอะไร?ประการแรก...พ.ร.บ.โรงงานฉบับ พ.ศ.2562 ได้กำหนดนิยาม ดังนี้ โรงงาน หมายถึง อาคารสถานที่หรือยานพาหนะ ที่ใช้เครื่องจักรมีกำลังรวมตั้งแต่ 50 แรงม้าหรือเทียบเท่าหรือใช้กำลังคนตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปโดยใช้เครื่องจักรหรือไม่ก็ตาม เพื่อประกอบกิจการโรงงานถัดมา...การตั้งโรงงาน หมายถึง การนำเครื่องจักรสำหรับประกอบกิจการมาติดตั้งในอาคารสถานที่หรือยานพาหนะที่จะใช้ประกอบกิจการโรงงานหรือนำคนงานมาประกอบกิจการโรงงานในกรณีที่ไม่มีการติดตั้งเครื่องจักร ดังนั้นการจัดตั้งโรงงาน จึงสามารถก่อสร้างอาคารสถานที่ก่อนได้“ทุนสีเทา” ให้ “นายหน้า” กว้านซื้อที่ดินจากประชาชนในพื้นที่นอกเมือง หลังจากนั้นจึงขออนุญาตก่อสร้างอาคารโดยจะต้องขออนุญาตจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่หากได้รับใบอนุญาตคือ ใบ อ.1 ก็สามารถก่อสร้างอาคารสถานที่เตรียมไว้ได้เลยโดยยังไม่ต้องขออนุญาตจากกรมโรงงานหรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ต่อเมื่อจะมีการนำเครื่องจักรตั้งแต่ 50 แรงม้าหรือมีคนงานเข้ามาประกอบกิจการมากกว่า 50 คน จึงค่อยขออนุญาตตั้งโรงงานตามกฎหมายต่อไปน่าสนใจว่า...วิธีการส่วนใหญ่ของทุนสีเทาจะติดต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐในท้องถิ่น วิ่งเต้นให้มีการสร้างอาคารดังกล่าวนอกเขตเมืองได้ง่ายโดยไม่ได้บอกประชาชนในพื้นที่ว่าจะมาทำประกอบกิจการอะไร แล้วทำการก่อสร้างอาคารจนเสร็จในช่วงขออนุญาตหากเป็นกิจการที่เข้าข่ายกิจการตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 หรือเข้าข่ายโรงงานที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยตามประกาศของกรมโรงงานหรือเข้าข่ายต้องทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะต้องจัดให้มีการรับฟังความเห็นประชาชนในพื้นที่เจ้าของโครงการและที่ปรึกษาก็จะให้เจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นที่มีการติดต่อวิ่งเต้นไว้แล้วนำประชาชนในพื้นที่พวกเดียวกันโดยจ่ายเงินให้หัวละประมาณ 500 บาท เข้าร่วมรับฟังความเห็น ซึ่งประชาชนที่เห็นด้วยส่วนใหญ่ที่ได้รับเงินก็จะอยู่ในห้อง คนที่ไม่ได้รับแต่รู้ข้อมูลมาบ้างก็จะอยู่นอกห้องหลังจากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการก็นำข้อมูลที่ไม่มีประชาชนคัดค้านพร้อมภาพถ่ายไปขออนุญาตจากหน่วยราชการหรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดหรือกรมโรงงานอนุญาตตั้งโรงงานต่อไปหากเป็นโครงการที่เข้าข่ายทำรายงานอีไอเอหรือรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมก็นำไปประกอบรายงานเพื่อให้ “สผ.” เห็นชอบต่อไป หากเป็นสถานประกอบการที่เข้าข่ายแค่ พ.ร.บ.การสาธารณสุข ก็ใช้เป็นหลักฐานให้ท้องถิ่นออกใบอนุญาตต่อไปประเด็นต่อมา...ในกระบวนการอนุญาตก็จะมีการวิ่งเต้น “ข้าราชการสีเทา?” ให้อำนวยความสะดวกในการเปิดดำเนินการ หลังจากที่โครงการเปิดดำเนินการแล้วโครงการจะต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมส่งให้หน่วยงานราชการตามเวลาที่กำหนดซึ่ง...ส่วนใหญ่ก็จะอ้างว่าไม่ก่อให้เกิดผลกระทบแต่อย่างใดและส่งรายงานดังกล่าวให้หน่วยงานอนุญาตรับทราบ ดังนั้นหน่วยงานอนุญาตจึงไม่ค่อยมีการลงพื้นที่เพื่อติดตามตรวจสอบแต่อย่างใด ขณะที่ราชการส่วนท้องถิ่นก็ปล่อยปละละเลยไม่ได้ทำการตรวจสอบ อ้างว่าเป็นเรื่องของอุตสาหกรรมแต่...เมื่อมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น มีการปล่อยน้ำเสียหรือมีการแอบทิ้งกากอุตสาหกรรมและประชาชนในพื้นที่ร้องเรียนหรือลงสื่อออนไลน์จึงจะมีการเข้าไปดำเนินการตรวจสอบจริงจังพ.ร.บ.โรงงานอุตสาหกรรมปี 2535 ก่อนที่จะแก้ไขมาเป็น พ.ร.บ.โรงงานปี 2562...“การตั้งโรงงาน” หมายความว่าการก่อสร้างอาคาร เพื่อติดตั้งเครื่องจักรสำหรับประกอบกิจการโรงงานหรือการนำเครื่องจักรสำหรับประกอบกิจการโรงงานมาติดตั้งในอาคารสถานที่หรือยานพาหนะที่จะประกอบกิจการ...“จะเห็นว่าการตั้งโรงงานรวมถึงการสร้างอาคารด้วยไม่ใช่ก่อสร้างอาคารก่อนแล้วมาขอตั้งโรงงานทีหลัง รวมทั้งใบอนุญาตมีอายุ 5 ปีต้องมีการต่ออายุใบอนุญาตกล่าวคือต้องมีการตรวจสอบโรงงานก่อน...แต่ พ.ร.บ.ปัจจุบันใบอนุญาตไม่มีหมดอายุจึงเป็นช่องว่างที่ไม่มีการตรวจสอบโรงงาน” อาจารย์สนธิ ว่าทั้งหมดเหล่านี้สะท้อนช่องโหว่...ช่องว่าง จุดอ่อนด้านการกำกับดูแลความเสี่ยง, ความไม่ครอบคลุมของกฎหมาย, ความจำเป็นในการเพิ่มบทลงโทษ, การยกระดับการบังคับใช้การปรับปรุงกฎหมายในอนาคตจึงจำเป็นต้องเน้นที่ การปิดช่องโหว่ความเสี่ยง และ การเพิ่มความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายหลังการอนุญาต (Post–Licensing Control) ควบคู่ไปกับการรักษาความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการเติบโตทางอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคมหาจุดสมดุลใหม่ระหว่างการส่งเสริมเศรษฐกิจด้วยการอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนกับการปกป้องชีวิตและสิ่งแวดล้อมของประชาชน เดินหน้าไปสู่หัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม