พระราชอัธยาศัยและพระราชนิยมของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปว่า ทรงโปรดฉลองพระองค์และพระภูษาไทย แต่ฉลองพระองค์ในระยะแรกๆก็ยังมิได้มีแบบเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติแน่นอน กระทั่งปี 2503 เมื่อครั้งตามเสด็จ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ไปทรงเยือนสหรัฐอเมริกา และ 14 ประเทศในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อทรงเจริญทางพระราชไมตรี “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงตระหนักว่าการปรากฏพระองค์ในฐานะพระราชินีแห่งราชอาณาจักรไทยเปรียบเสมือนตัวแทนของคนทั้งชาติ แต่ในขณะนั้นสตรีไทยยังไม่มีการแต่งกายที่เป็นแบบแผน และแสดงเอกลักษณ์ของชาติที่ชัดเจน พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัดทำเครื่องแต่งกายที่สะท้อนความเป็นไทยอย่างงดงามและมีความร่วมสมัย โดยทรงประยุกต์มาจากแฟชั่นการแต่งกายของสตรีในราชสำนักสยามครั้งโบราณกาลด้วยพระราชปณิธานในการอนุรักษ์ธรรมเนียมการแต่งกายแบบไทย “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผู้เชี่ยวชาญศึกษารูปแบบการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักโบราณ ประยุกต์เข้ากับเทคนิคการตัดเย็บแบบสมัยใหม่ เพื่อจัดทำชุดไทยที่สวมใส่ได้สะดวกเหมาะกับยุคสมัย โดยยังคงความสง่างามและเอกลักษณ์ไทยไว้อย่างกลมกลืน ต่อมาฉลองพระองค์ชุดไทยดังกล่าวเป็นที่รู้จักในชื่อ “ชุดไทยพระราชนิยม” และกลายเป็นต้นแบบชุดประจำชาติของสตรีไทยมาถึงปัจจุบัน นอกจากจะทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เองแล้ว ยังมีพระราชเสาวนีย์โปรดเกล้าฯให้ “ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค” นางสนองพระโอษฐ์ นำความไปปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ, ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของประเทศไทย ให้ช่วยกันศึกษาค้นคว้าเครื่องแต่งกายของสตรีไทยในยุคสมัยต่างๆ นับตั้งแต่ยุคอารยธรรมทวารวดีเรื่อยมา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อใช้เป็นแบบอย่างและแนวคิด โดยแบบชุดไทยที่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงเลือกไว้นั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ “คุณไพเราะ พงษ์เจริญ” ตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์ถวาย และโปรดเกล้าฯให้ “คุณหญิงอุไร ลืออำรุง” ช่างตัดฉลองพระองค์ในขณะนั้น ทำหน้าที่เลือกแบบต่างๆมาดัดแปลงแก้ไขผสมผสานกัน จนเกิดเป็นชุดไทยพระราชนิยม 8 แบบ และกำหนดให้เลือกใช้ในวาระต่างๆกัน โดยพระราชทานชื่อตามนามของพระที่นั่งและพระตำหนักต่างๆ ได้แก่ ชุดไทยเรือนต้น, ชุดไทยจิตรลดา, ชุดไทยอมรินทร์, ชุดไทยบรมพิมาน, ชุดไทยดุสิต, ชุดไทยจักรี, ชุดไทยศิวาลัย และชุดไทยจักรพรรดิ ล้วนแต่มีความงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การตามเสด็จไปทรงเยือนสหรัฐอเมริกา และ 14 ประเทศในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อปี 2503 ซึ่งกินระยะเวลายาวนาน 7 เดือน ไม่เพียงฉายให้โลกเห็นถึงพระสิริโฉมและพระสไตล์อันโดดเด่น แต่ยังเป็นการเบิกทางให้ “ชุดไทยพระราชนิยม” ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยพระราชปณิธานที่จะอนุรักษ์และสืบสานศิลปะการแต่งกายแบบไทยให้เป็นมรดกแห่งความภาคภูมิใจของชาติ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ดังกล่าวไว้ในบทพระราชนิพนธ์ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ“การตามเสด็จอเมริกาและยุโรปเมื่อหน้าร้อน พ.ศ. 2503 นับว่าเป็นการตามเสด็จทางราชการครั้งใหญ่ที่สุดครั้งแรกของข้าพเจ้า รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าตื่นเต้นไปหมด การตระเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนับว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงเรา โดยเฉพาะสำหรับตัวข้าพเจ้าเอง เพราะการที่เสด็จไปตั้ง 15 ประเทศ ก็ต้องเสียเวลาหลายเดือน คือตั้งแต่หน้าร้อน ฤดูใบไม้ร่วง จนถึงหน้าหนาวหิมะตก เสื้อผ้าจึงต้องเตรียมไปสำหรับทุกหน้าและทุกโอกาส ในขั้นต้นข้าพเจ้าได้เชิญผู้ใหญ่หลายคนที่เคยไปอยู่ต่างประเทศ ในฐานะเป็นภริยาราชทูตมาสอบถามและปรึกษาเรื่องการแต่งกาย จากการสนทนาครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ทราบว่าผู้ที่ได้รับเชิญไปในงานอุทยานสโมสรของราชสำนักเซนต์เจมส์เขาแต่งกายกันอย่างไร เวลาภริยาราชทูตเข้าพบประมุขของประเทศในงานใหญ่หรูหราแต่ละครั้งแต่งกายกันอย่างไร แต่แล้วผู้ใหญ่ให้การแนะนำของข้าพเจ้าต่างก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า พวกเขาไปงานหรูหราเหล่านั้นในฐานะเป็นเพียงภริยาของทูตทั้งหลาย แต่อย่างไรใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จไปในฐานะตำแหน่งพระบรมราชินีนาถของไทยเป็นเฟิร์สต์เลดี้ของไทย และยังทรงเป็นผู้แทนของหญิงไทยทั้งชาติด้วย เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องใหญ่คนละเรื่องกับเรื่องของเกล้ากระหม่อมฉันทั้งหลาย...ตกลงก็เป็นอันว่าข้าพเจ้าจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่า ควรจะแต่งกายอย่างไรจึงจะสมควร และเหมาะแก่โอกาสในการตามเสด็จอเมริกาและยุโรปครั้งนั้น” “แต่ไหนแต่ไรมา คนไทยเรามักชอบแต่งกายกันตามสบายให้เหมาะแก่ความสะดวก ความประหยัด และอากาศของเมืองเราเท่านั้น ฉะนั้นเครื่องแบบประจำชาติเราจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีประจำอยู่เป็นแบบฉบับอย่างของเพื่อนบ้านใกล้เคียง จนเป็นที่รู้จักแพร่หลายกันทั่วโลก เช่น ส่าหรีของชาวอินเดีย เครื่องแต่งกายของชาวจีน และกิโมโนของชาวญี่ปุ่น บรรดาพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดต่างก็แนะนำให้ข้าพเจ้านุ่งผ้าซิ่นอย่างไทยๆนี่แหละไปทุกหนทุกแห่ง ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้าตกลงใจที่จะกระทำตาม เพราะมีปัญหาขัดข้องเรื่องเสื้อผ้าที่สวมกับผ้าซิ่น ด้วยเรายังไม่มีเสื้อผ้าที่จะใช้เป็นแบบฉบับ เมื่อสมัยสมเด็จพระพันปีหลวง ท่านทรงผ้าโจงกระเบนอย่างไทยๆเรา ครั้งกระโน้นฉลองพระองค์เป็นคอปิด แขนหมูแฮม แบบพระราชินีอเล็กซานดรา อันเป็นที่นิยมกันมากของยุโรปในสมัยนั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะนำไปใช้ในครั้งนี้หาได้ไม่ เมื่อตอนตามเสด็จสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไปสิงคโปร์ สมเด็จพระพันปีหลวงก็ทรงชุดฝรั่งอย่างเต็มที่”“ต่อมาข้าพเจ้าได้ให้ช่วยกันค้นหาพระรูปพระมเหสีของรัชกาลก่อนๆที่มีอยู่ในวังหลวง และของเจ้านายองค์อื่นๆมาดู สมเด็จพระพันวัสสาทรงพระภูษาเยียรบับจีบสายรัดพระองค์ทอง หัวก็เป็นทองฝังเพชร ทรงฉลองพระองค์กรยาว มองผาดๆเห็นคอฉลองพระองค์ตั้งสูง คล้ายเสื้อราชปะแตนของผู้ชายสมัยนั้น ทรงสะพักเป็นสะไบปักทับฉลองพระองค์ ครั้นดูให้เก่าไปกว่าสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนต้น และกลางแผ่นดิน ไปจนถึงสมัยพระเทพฯในรัชกาลที่ 4 ก็เห็นว่าท่านทรงพระภูษาจีบผ้าเขียนทอง หรือก็ทรงผ้าเยียรบับ อย่างผ้าทรงของสมเด็จพระพันวัสสา ทรงสายรัดพระองค์ทองหัวฝังเพชรเช่นเดียวกัน ทรงสะพักปักทับแพรจีบ ไม่ได้ทรงฉลองพระองค์ ครั้งดูให้ใหม่กว่าสมัยรัชกาลที่ 4 และที่ 5 มาถึงรัชกาลที่ 6 แบบพระวรกัญญาฯ ก็คือทรงผ้าซิ่นป้ายส่วนฉลองพระองค์ตามแบบฝรั่งสมัยหลังสงครามโลกครั้งแรก ซึ่งถ้าจะนำมาใช้ในสมัยนี้ก็ดูไม่เหมาะ ดีไม่ดีหนังสือพิมพ์ต่างประเทศก็จะวิจารณ์กันยุ่งใหญ่ว่าเสื้อประจำชาติไทยที่พระราชินีทรงนี่แบบไหนกันแน่หนอ ฝรั่งก็ไม่ใช่ไทยก็ไม่เชิง”ด้วยพระวิสัยทัศน์กว้างไกลในการใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตอันทรงพลัง เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวโลก “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จึงมีพระราชดำริให้ออกแบบเครื่องแต่งกายประจำชาติ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของชาติไทยขึ้นใหม่ โดยทรงประยุกต์มาจากแฟชั่นการแต่งกายของสตรีในราชสำนักสยามครั้งโบราณกาล“ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตกลงใจว่า จะใช้เครื่องแต่งกายทั้งแบบไทยและสากลซึ่งทั่วโลกนิยมในการตามเสด็จครั้งใหญ่นี้เห็นจะเข้าทีที่สุด ดูจะเหมาะแก่โอกาสมากกว่าการแต่งไทยอยู่อย่างเดียว นอกจากนี้ใครๆก็เห็นว่าไทยเราแต่งกายแบบประสมประเสกันมานานจนชินนัยน์ตาแล้ว ครั้งนี้ก็น่าจะอนุโลมใช้ทั้งสองอย่างได้ ไม่น่าจะทำเป็นไทยแท้อยู่อย่างเดียว ดูแต่เจ้านายญี่ปุ่น ทั้งๆที่มีกิโมโน ซึ่งทั่วโลกรู้จักว่าเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติ ก็ยังทรงใช้ชุดสากลในบางโอกาส เพื่อความสะดวกและความสบายมานานแล้ว “...สำหรับเครื่องแต่งกายชุดไทย ซึ่งข้าพเจ้ากะไว้ว่าจะใช้เป็นแบบฉบับในการตามเสด็จครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ขอให้ “หม่อมหลวง มณีรัตน์ บุนนาค” ไปพบกับอาจารย์ผู้ใหญ่ที่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ไทย ให้ช่วยกันค้นคว้าเครื่องแต่งกายแบบไทยต่างๆมาดูกัน แล้วให้ “อุไร ลืออำรุง” ช่างตัดเสื้อที่ตัดให้ข้าพเจ้ามานานปี ช่วยเลือกแบบต่างๆที่ได้มาครั้งนั้นมาประสมประเสกันจนเกิดมีแบบเสื้อชุดไทยขึ้นหลายชุด แต่ละชุดเหมาะแก่โอกาสและสถานที่ โดยเฉพาะผ้าซิ่นเสื้อแขนกระบอกทำด้วยผ้าไหมของเราเอง เป็นที่นิยมชมชอบของชาวต่างประเทศ เพราะเป็นแบบที่เรียบๆไม่ล้าสมัยง่ายๆ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงไทยก็ใช้แบบเหล่านี้มากขึ้นทุกที จนกระทั่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปในหลายประเทศ ในที่สุดก็กลายเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติไปแล้ว”ชุดไทยพระราชนิยมทั้ง 8 แบบ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเผยแพร่ให้สตรีไทยทั่วไปสามารถนำมาแต่งกายได้ ปรากฏเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย และถือเป็นชุดประจำชาติไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าชุดไทยพระราชนิยมที่ทรงศึกษา ค้นคว้า และสร้างสรรค์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งแรงบันดาลใจ และพลังสนับสนุนยิ่งใหญ่ให้นักออกแบบเสื้อผ้าได้ครีเอตประยุกต์ชุดไทยที่ใช้ผ้าไหมเป็นพื้นฐานให้มีความสวยงามแปลกตา และสามารถใช้แทนชุดสากลอย่างสง่างาม การทอผ้าของไทยที่ชาวชนบททอใช้เองภายในบ้าน จึงได้กลายเป็นงานศิลปหัตถอุตสาหกรรมที่นำรายได้มาสู่ชนบท โดยยังคงสืบทอดวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดินสื่อทั่วโลกต่างชื่นชมในพระราชจริยวัตรอันงดงามของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ในฉลองพระองค์ชุดไทย โดยนิตยสารระดับโลกอย่าง “โว้ก” ได้ส่งช่างภาพมาขอพระราชทานฉายพระฉายาลักษณ์ เพื่อเผยแพร่ในโว้ก ฉบับเดือนกรกฎาคม 2505 ส่งผลให้ผ้าไหมไทยมีชื่อเสียงอย่างมาก และเกิดความนิยมสวมใส่ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเชิดชูในมรดกวัฒนธรรมการแต่งกายของไทย ประเทศไทยได้เสนอ “ชุดไทย” ขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาขององค์การการศึกษา, วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ในปี 2569 เพื่อให้ “ชุดไทย” ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และเป็นการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมไทย ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกด้วยความภาคภูมิใจ ภายใต้หลักของความเข้าใจ, ความสร้างสรรค์ และการอยู่ร่วมกันอย่างสง่างามของมนุษยชาติ นับเป็นโชคดีของคนไทยที่เรามี “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ผู้ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกล ทรงตระหนักรู้ในคุณค่าของความเป็นไทย อันเป็นมรดกที่สืบทอดมาแต่โบราณกาล และกำลังจะสูญสิ้นไป จึงทรงทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสมบัติของชาติให้คงอยู่คู่แผ่นดินอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่