เริ่มแล้ววันแรก การถอนอาวุธหนักตามข้อตกลงในการประชุม RBC สมัยพิเศษ ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา “อนุทิน” ระบุการเริ่มใหม่ย่อมขลุกขลักกันอยู่บ้าง แต่แนวโน้มเป็นไปในทางที่ดี ส่วนที่ “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” ต้องมีการตั้งคณะทำงานหาข้อสรุปร่วมกัน ขณะที่ชาวบ้านริมชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่อยากให้ทหารไทยถอนอาวุธไปไกล เหตุไม่เชื่อใจกัมพูชา รวมถึงควรเอาปราสาทตาควาย-แผ่นดินไทยที่ถูกรุกล้ำคืนมาให้หมดก่อน ด้านบ้านชำราก จ.ตราด ที่ถูกกัมพูชารุกล้ำ แม้รื้อบ้าน 3 หลังแล้วรอเคลียร์พื้นที่ให้ปลอดภัยจากทุ่นระเบิด อีกฝ่ายยังไม่ยอมถอย อ้างจะให้มีการชี้แนวเขตแดนก่อนตามที่กองทัพภาคที่ 2 และภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) สมัยพิเศษ ว่าด้วยการถอนอาวุธหนักและอาวุธทำลายล้างสูง ณ เมืองโอเสม็ด จ.อุดรมีชัย ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายตกลงถอนอาวุธหนัก 3 ประเภท (ระบบจรวด ปืนใหญ่ รถถัง) เป็น 3 ระยะ ภายใต้การสังเกตการณ์ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) กรอบระยะเวลา ดังนี้ ระยะที่ 1 ระบบจรวด (ประเภท A) : 1-21 พ.ย.2568 ระยะที่ 2 ปืนใหญ่ (ประเภท B) : 22 พ.ย.-12 ธ.ค.2568 และระยะที่ 3 รถถัง (ประเภท C) : 13-31 ธ.ค.2568ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 1 พ.ย.นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ที่เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ถึงกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ว่าประเทศไทยได้ทำในสิ่งที่ต้องทำหมดแล้ว กัมพูชาก็ได้เริ่มปฏิบัติในสิ่งที่สรุปและตกลงกันไว้ ในเงื่อนไขข้อตกลงที่เราลงนาม อาจจะมีเริ่มใหม่ขลุกขลักกันอยู่บ้างแต่แนวโน้มเป็นไปในทางที่ดี มีการพูดคุยกันของผู้ที่รับผิดชอบคือกองทัพในการดำเนินการตามข้อตกลง และมีการรายงานมาตลอดเวลานายอนุทินยังกล่าวถึงกรณีบ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว ที่ประชาชนต้องการให้ผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ว่า ส่วนที่รับผิดชอบได้ไปทำความเข้าใจและดูแลสถานการณ์ให้เรียบร้อย การบริหารสถานการณ์ในพื้นที่อ้างสิทธิ อยู่ในข้อ 4 ของข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา ที่จะต้องมีการตั้งคณะทำงานหาข้อสรุปร่วมกัน ตนได้พูดคุยกับกองทัพ จะเป็นผู้เจรจาร่วมกับนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี และเรามี เป้าหมายที่จะหาความชัดเจนในพื้นที่อ้างสิทธิกัน ต้องมีการพูดคุยสำหรับบรรยากาศที่ จ.สุรินทร์ พื้นที่ดูแลของกองทัพภาคที่ 2 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 31 ต.ค. ต่อเนื่องวันที่ 1 พ.ย.มีรายงานว่ากองทัพไทยและกองทัพกัมพูชาเริ่มถอนอาวุธหนักตามข้อตกลง ขณะเดียวกันเวลาประมาณ 00.10 น.วันที่ 1 พ.ย.ยังคงพบโดรนปริศนาบินอยู่เหนือท้องฟ้าฝั่งกัมพูชา มีแสงไฟกะพริบถี่ๆ 3 สี คือ สีแดง เขียว และขาวอย่างชัดเจนอีกด้วย มีโอกาสเป็นไปได้ว่าเป็นโดรนของทหารกัมพูชาที่ขึ้นบินสังเกตความเคลื่อน ไหวของทหารไทยว่าทหารไทยได้มีการถอนอาวุธหนักออกไปแล้วหรือไม่ ในช่วงหลังเที่ยงคืน ขณะที่ในช่วงเช้า ที่ย่านการค้าตลาดชายแดนช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ยังคงเงียบเหงา แม้พ่อค้าแม่ค้าเปิดร้านขายของตามปกติ หลังจากที่ส่วนใหญ่ปิดตัวมาร่วม 3 เดือน ขณะที่ประชาชนตามแนวชายแดนส่วนใหญ่ต้องการให้ทหารไทยยึดปราสาทตาควายคืนมาให้ได้ รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ของไทยที่กัมพูชารุกล้ำ ควรเอาคืนมาให้หมดก่อนค่อยถอนกำลังด้านนายผึ้ง เพชรงาม อายุ 63 ปี ชาวบ้าน ม.6 ต.ด่าน อ.กาบเชิง กล่าวว่า ตนรอดูว่าทหารไทยจะขนรถถังกลับจริงมั้ย ถ้าขนกลับก็อย่าไปไกล ให้อยู่ใกล้ๆชายแดน เพราะไม่เชื่อใจกัมพูชา ตอนเช้าพูดอีกอย่าง เย็นพูดอีกอย่าง เราไม่อยากให้ขนอาวุธกลับ ส่วนเรื่องดินแดน ให้เอาปราสาทตาควายและปราสาทคนากลับคืนด้วย ทำไมทหารไม่ไปอยู่ตรงนั้น อย่าให้เขาสร้างบันไดขึ้นมา ปล่อยให้เขาวางระเบิด อยากให้ทหารไทยไปอยู่ประชิดอย่าให้ขึ้นมา ถ้าเขาปักธงได้เราจะเสียดินแดนนายผึ้งกล่าวอีกว่า ส่วนการเจรจาขอคืนพื้นที่โดยไม่ใช้อาวุธ กัมพูชาคงไม่ยอม เช่น ที่ภูมะเขือ ยังอยากจะตีเอา ดินแดนยังไม่ได้หมดจะถอนกำลังทำไม เขาเอาออกหลอกๆ เดี๋ยวก็เอากลับมาคืน กัมพูชามันหลอก ที่ตาควายเขายังไม่ออก กัมพูชาละเมิดหลายครั้ง เวลาเราเผลอจะแอบวางระเบิด เขายั่วให้เรายิงก่อน เขาจะหาเรื่องฟ้องศาลโลก ไม่อยากให้ยอมไม่อยากให้เจรจา ไม่ใช่เรื่องของศาลโลก เป็นเรื่องของสองประเทศที่จะต้องคุยกัน ยึดสันปันน้ำ จะต้องเอา 1 ต่อ 5 หมื่น ไม่ใช่ต่อสองแสน ไทยมีหุ้นส่วนกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ กัมพูชารุกรานเรา ไม่ใช่ไทยรุกราน อย่างที่หนองจาน ไทยจะไปหาที่อยู่ให้เขาใหม่ ไม่ถูก เขาบุกรุกที่เรา ทีเขายิงปืนใหญ่มาใส่บ้านเรือนไทยและมีคนตาย เขาก็ไม่ยอมรับ คนตายเยอะแยะ ฝากทหารรัฐบาล ให้ยิงเลย รัฐบาลตอนนี้เชื่อใจไม่ได้อาจจะมีหุ้นส่วน ว่าจะเปิดด่าน รัฐบาลเราเข้าข้างเขาเยอะกว่า ด่านก็ไม่ต้องเปิด ถ้าอยากเปิดให้สร้างกำแพงให้เสร็จก่อน ส่วนสแกมเมอร์ที่ชายแดนพอมีเรื่องก็จะพาย้ายไปที่อื่นอีก เชื่อใจไม่ได้ส่วนที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว อยู่ในการดูแลของกองทัพภาคที่ 1 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มประชาชนไทยหัวใจรักชาติ นำมวลชนเคลื่อนเข้าไปยังแนวรั้วชายแดน บริเวณจุดพิพาทบ้านหนองจาน เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา จนเกิดความชุลมุน ปรากฏว่าจากการบินโดรนของกองกำลังบูรพา ตลอดช่วงเช้าวันที่ 1 พ.ย. ไม่มีการรวมตัวของกลุ่มมวลชนชาวกัมพูชา มีเพียงเจ้าหน้าที่ทหารของกัมพูชาที่ประจำจุดอยู่ตามแนวชายแดนเท่านั้น ทำให้ภาพรวมสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่อำเภอโคกสูงยังคงสงบเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงหรือความเคลื่อนไหวผิดปกติขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กองกำลังบูรพาร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ และกองร้อยทหารพรานที่ 1202 (ชค.ทพ.12) พร้อมกำลังจาก ร.9 พัน.3 ออกลาดตระเวนพื้นที่ชายแดนบริเวณบ้านภูน้ำเกลี้ยง ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ ก่อนตรวจพบกลุ่มชายต้องสงสัยจำนวนมากกำลังเดินเท้ามุ่งหน้าออกนอกประเทศไปทางฝั่งกัมพูชา เจ้าหน้าที่แสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบว่าเป็นชายชาวจีนจำนวน 14 คน ลักลอบเดินทางข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย จากการตรวจค้นพบว่าในจำนวนนี้ 13 คนไม่มีเอกสารแสดงตนหรือหนังสือเดินทาง ส่วนอีก 1 คน มีพาสปอร์ตติดตัว หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้นำตัวทั้งหมดส่งกองบังคับการร้อย. ทพ.1202 เพื่อสอบสวนขยายผล โดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วและล่ามภาษาจีนร่วมซักถาม เพื่อหาข้อมูลเส้นทางการลักลอบและจุดหมายปลายทางในประเทศกัมพูชา ก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไปที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จ.ตราด ที่อยู่ในการดูแลของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) กองทัพเรือ น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เปิดเผยถึงสถานการณ์ด้านบ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมืองตราด ว่าการถอนกำลังทหารระหว่างไทยและกัมพูชาที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามกันและต้องถอนกำลังและอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนนั้น ในพื้นที่บ้าน 3 หลัง บ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมืองตราด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นี้ พื้นที่บ้าน 3 หลัง กัมพูชาเป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามานานแล้ว ฝ่ายกัมพูชาก็ยอมรับ แต่เมื่อหน่วยฯ ไปเจรจาขอให้ถอนกำลังออกไป ฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอมและยืนยันทำตามคำสั่งรัฐบาลที่จะให้มีการชี้แนวเขตแดนก่อนน.อ.ธรรมนูญกล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ได้นำ ผบ.นย.มาตรวจสอบพื้นที่และรับฟังสถานการณ์ล่าสุด ซึ่งหน่วยนาวิกโยธินตราดจะตรึงกำลังไว้ในพื้นที่เพื่อรอสถานการณ์ที่พร้อมและรอคำสั่งจากฝั่งผู้บังคับบัญชาว่าจะให้ปฏิบัติอย่างไรเท่านั้น ทหารนาวิกโยธินทุกคนพร้อมอยู่แล้วทั้งกำลังและอาวุธสนับสนุน ตนจะไม่ให้ฝ่ายกัมพูชามากำหนดหรือขีดเส้นให้เราทำตาม แต่จะกดดันและทำตามยุทธวิธีทางทหาร เพื่อให้ฝ่ายกัมพูชาได้ปฏิบัติตามเรา ยืนยันทหารนาวิกโยธินตราดไม่ยอมเดินตามหลังฝ่ายกัมพูชาเด็ดขาด เพื่อปกป้องแผ่นดินไทยไว้ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการเปิดเส้นทางความมั่นคงมุ่งสู่บ้าน 3 หลัง ต.ชำราก อ.เมืองตราด ของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ที่ร่วมมือกับภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 ต.ค.พบว่า มีการเปิดเส้นทางจนถึงพื้นที่บ้าน 3 หลังที่ถูกทำลายเรียบร้อยแล้ว ส่วนอื่นๆเป็นเพียงขนำเล็กๆ ต่อจากนี้ทหารนาวิกโยธินตราดยังคงปฏิบัติภารกิจต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเคลียร์พื้นที่โดยรอบให้ปลอดภัยจากทุ่นระเบิด และเมื่อพื้นที่โดยรอบปลอดภัยแล้ว ทหารนาวิกโยธินตราดจะเข้ายึดพื้นที่ทันทีพร้อมปักธงชาติไทยเป็นการทวงคืนอธิปไตยไทยคืนมา หลังจากถูกรุกล้ำมานานถึง 40 ปี ตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายไทยประท้วงมาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้รับความร่วมมือจากกัมพูชาและคาดการว่าหากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ อาจจะพัฒนาเป็นลานกางเต็นท์ ที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองตราดได้อีกแห่งอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่