การประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลา ลัมเปอร์ของมาเลเซีย ภายใต้การนำของ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีผู้นำญี่ปุ่น บราซิล แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย แคนาดา ตบเท้าเข้าร่วมหารือกับสมาชิกชาติอาเซียนรวมทั้ง นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บินตรงมาร่วมวงประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 2560 และได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ดึงความสนใจจากทั่วโลกการประชุมครั้งนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของมาเลเซีย ในฐานะศูนย์กลางการเจรจาระดับโลกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะบทบาท “ผู้ไกล่เกลี่ย” ของอันวาร์ ในการลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีทรัมป์ร่วมเป็นสักขีพยาน สะท้อนบทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนในการประสานความร่วมมือท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาคอย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ตั้งคำถามว่าอาเซียนภายใต้การนำของอันวาร์จะสามารถผลักดันความร่วมมือทางการค้า รวมถึงแก้ไขปัญหาที่ยืดเยื้อ เช่น ความขัดแย้งในเมียนมา และข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากน้อยเพียงใด ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นหลังยังไม่มีความคืบหน้าอย่างชัดเจนยิ่งไปกว่านั้น ข้อตกลงสำคัญหลายฉบับเกิดจากการเจรจาทวิภาคี ไม่ผ่านกลไกของอาเซียนโดยตรง เช่น ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯกับมาเลเซีย และกับกัมพูชา ยังถูกนักวิเคราะห์มองว่าเป็น “ดีลด้านเดียว” ให้ผลตอบแทนไม่ชัดเจนต่ออาเซียน ก่อความกังวลว่าอาเซียนอาจกลายเป็นเพียง “เวทีให้มหาอำนาจต่อรอง” มากกว่าจะเป็น “ผู้เล่นที่มีอำนาจต่อรองร่วมกัน”จนได้ข้อสรุปการประชุมสุดยอดครั้งนี้ว่า “โดดเด่นด้านภาพลักษณ์แต่ขาดผลลัพธ์เชิงรูปธรรม”.อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม