ศูนย์พยากรณ์อากาศแห่งชาติ ฟิลิปปินส์ได้ออกคำเตือนฉุกเฉินเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (2 ต.ค.68) เกี่ยวกับอันตรายจากคลื่นพายุซัดฝั่ง ที่คาดว่าจะสูงระหว่าง 1.0 ถึง 3.0 เมตร ภายใน 36 ชั่วโมง ในพื้นที่ชายฝั่งที่ราบต่ำและเปราะบางทางตอนเหนือและตะวันออกของเกาะลูซอนพายุโซนร้อน “แมตโม” กำลังเคลื่อนตัวด้วยความเร็วลม 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดว่าจะทวีกำลังขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ก่อนจะพัดขึ้นฝั่งเกาะลูซอน ซึ่งเป็นเกาะหลักของประเทศ ในช่วงเช้าวันศุกร์คลื่นพายุซัดฝั่งเกิดจากกระแสลมที่รุนแรงผลักดันปริมาณน้ำทะเลจำนวนมากเข้าสู่ชายฝั่ง ซึ่งมีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง ความเสียหายต่อทรัพย์สินและการสูญเสียชีวิตได้ ประเด็นสำคัญมีว่า...“ประเทศฟิลิปปินส์” เผชิญกับพายุโซนร้อนและพายุไต้ฝุ่นโดยเฉลี่ย 20 ลูกต่อปี ซึ่งมักจะเข้าถล่มพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติและมีประชากรหลายล้านคนอาศัยอยู่ภายใต้ความยากจนนักวิทยาศาสตร์เตือนว่าพายุในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะทวีกำลังรุนแรงขึ้น เนื่องจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ขับเคลื่อนโดยกิจกรรมของมนุษย์ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พายุไต้ฝุ่นบัวลอยได้คร่าชีวิตผู้คนไป 37 ศพ ทำให้ประชาชน 400,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนในภาคเหนือและ...ก่อนหน้านั้นในช่วงปลายเดือนกันยายน พายุไต้ฝุ่นรากาซา ก็ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 14 ศพตอกย้ำ “ฟิลิปปินส์” ประเทศแห่งพายุไต้ฝุ่นและภัยพิบัติของโลก เพราะเหตุผลสำคัญที่ว่า “ยามพายุมา...ฟิลิปปินส์แทบจะกลายเป็นสมรภูมิของธรรมชาติ” ซึ่งคำกล่าวนี้ไม่เกินจริง เพราะเมื่อดูจากสถิติแล้ว ฟิลิปปินส์คือหนึ่งในประเทศที่ถูกพายุไต้ฝุ่นโจมตีบ่อยที่สุดของโลกทุกปีฟิลิปปินส์ต้องเจอกับพายุโซนร้อนเฉลี่ยราว 20 ลูก และไม่ต่ำกว่า 8-9 ลูก ขึ้นฝั่งกวาดล้างพื้นที่หมู่เกาะจนชาวบ้านแทบไม่ได้พักหายใจ เพราะพายุลูกหนึ่งยังไม่ทันจาง อีกลูกก็จ่อคิวเข้ามาแทนที่ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์คือ “คำสาป” ของประเทศนี้ ฟิลิปปินส์ตั้งอยู่บนเส้นทางก่อกำเนิดพายุแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก หรือ “Typhoon Belt”...พื้นที่ที่โลกบันทึกไว้ว่ามีพายุรุนแรงเกิดถี่ที่สุดเรียกได้ว่า...เป็นประเทศในเส้นทางพายุย้อนไปในอดีตใครจะลืมได้? ปี 2556 ไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” ซัดฟิลิปปินส์จนผู้คนล้มตายกว่า 6,000 ศพ สูญหายหลายพัน ความเสียหายประเมินมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภาพเมืองทาคโลบันที่ราบเรียบเหมือนถูกลบด้วยยางลบ คือบาดแผลที่ยังฝังลึกในความทรงจำนอกจากนี้แล้ว “ฟิลิปปินส์” ไม่เพียงแค่เผชิญพายุไต้ฝุ่นเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับภัยพิบัติ...แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และน้ำท่วมใหญ่ จากภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะกว่า 7,600 เกาะ ชายฝั่งยาวกว่า 36,000 กิโลเมตร...ตั้งอยู่บนพื้นที่วงแหวนแห่งไฟของมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้แทบทุกตารางเมตรเสี่ยงภัยพิบัติWorld Risk Report 2022 จัดให้ฟิลิปปินส์เป็น “ประเทศเสี่ยงภัยพิบัติที่สุดในโลก” เพราะนอกจากการเปิดรับภัยสูงแล้ว ยังมีโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่เปราะบาง ผนวกกับ “ภาวะโลกร้อน”...ยิ่งกว่าพายุคืออนาคต ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้พายุรุนแรงขึ้น น้ำทะเลอุ่นขึ้นคือเชื้อเพลิงชั้นดีให้พายุพัฒนาเป็น “ซุปเปอร์ไต้ฝุ่น” ที่ถล่มหมู่เกาะนี้อย่างไม่ปรานี?บทสรุปยิ่งตอกย้ำ...เมื่อดูทุกมิติ ฟิลิปปินส์จึงไม่ต่างจาก “ห้องทดลองธรรมชาติ” ที่โลกเฝ้าดูว่า ภายใต้พายุที่โหมกระหน่ำ มนุษย์จะรับมือได้แค่ไหน ฟิลิปปินส์อาจเป็น “ประเทศแห่งพายุไต้ฝุ่นและภัยพิบัติของโลก” วันนี้ แต่ในอนาคต...อาจไม่ใช่ประเทศเดียวที่ตกอยู่ในสภาพนี้ หากโลกร้อนยังคงเดินหน้า?เหลียวมอง “ประเทศไทย” แม้จะมีความเสี่ยงที่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้น้อย...ประเทศไทยอาจไม่ใช่เส้นทางพายุโดยตรงแบบฟิลิปปินส์ แต่ก็มี “ภัยซ่อนเร้น” ที่น่ากังวลไม่แพ้กัน อาทิหนึ่ง...พายุ–ฝน บ้านเราเจอพายุหมุนเขตร้อนเฉลี่ยปีละ 2-3 ลูก แม้ไม่รุนแรงเท่าฟิลิปปินส์ แต่พายุที่อ่อนกำลังเข้ามาก็ยังสร้างฝนตกหนัก น้ำท่วมใหญ่ เช่น น้ำท่วมปี 2554 ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.4 ล้านล้านบาท ถัดมา...น้ำท่วม– น้ำแล้ง มีความเสี่ยงทั้ง “น้ำมากเกินไป” และ “น้ำน้อยเกินไป”การบริหารจัดการน้ำ...จึงเป็นโจทย์ท้าทายที่สำคัญสาม...แผ่นดินไหว แม้ไม่ใช่พื้นที่เสี่ยงสูงเท่าฟิลิปปินส์ แต่ภาคเหนือและภาคตะวันตกของไทยยังอยู่บนรอยเลื่อน เช่น เหตุแผ่นดินไหวแม่ลาว (เชียงราย) ปี 2557 สี่...ภัยสังคม–เศรษฐกิจ เมืองใหญ่เช่นกรุงเทพฯ ต้องเผชิญปัญหา “น้ำรอการระบาย” ผนวกกับภาวะโลกร้อน...การทรุดตัวผิวดินทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมองจุดเหมือนและจุดต่าง “ฟิลิปปินส์” กับ “ไทย” ความเหมือนคือทั้งสองประเทศมีประชากรจำนวนมากอาศัยในพื้นที่ชายฝั่งและลุ่มน้ำ เมื่อภัยพิบัติมาถึงชุมชนเหล่านี้จึงเปราะบาง ส่วนความต่างคือ...ฟิลิปปินส์โดนพายุโดยตรงและถี่ ส่วนไทยเจอผลกระทบทางอ้อม ...แต่ปัญหาใหญ่คือการบริหารจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ยั่งยืนกระนั้นยังมีความท้าทายร่วมกันจาก “ภาวะโลกร้อน” ทำให้ภัยรุนแรงขึ้นทุกปี ไม่ว่าพายุจะเข้าฟิลิปปินส์หรือเลี้ยวเข้าไทย ผลลัพธ์ก็คือความสูญเสียที่ต้องรับมือฟิลิปปินส์คือ “กระจกเงา” ที่สะท้อนให้ “ประเทศไทย” มองเห็นอนาคต หากเรายังจัดการทรัพยากรน้ำแบบล่าช้า ปล่อยให้เมืองขยายโดยไร้การวางแผน และละเลยมาตรการป้องกันภัยพิบัติ วันหนึ่งไทยอาจกลายเป็น “ประเทศแห่งภัยพิบัติ” ในสายตาโลกไม่ต่างกันเมื่อธรรมชาติเริ่มเอาคืน การเรียนรู้...เพื่อป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่ให้ซ้ำรอย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม