ปฏิบัติการ “MONEY CASH BACK” ของตำรวจดำเนินการต่อเนื่อง ล่าสุดอายัดเงินในบัญชีม้าได้อีกกว่า 1 ล้านบาทนำคืนผู้เสียหาย 2 ราย 2 คดี เผยตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.-26 ก.ย.68 มีเคสที่นำเข้า Warroom IACทั้งหมด 716 เคส รวมความเสียหาย 429.6 ล้านบาท ดำเนินการตามอายัดได้ 328 เคส มูลค่าทรัพย์สินที่ได้คืน 143.4 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจับกุมเครือข่ายบัญชีม้าของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ ขยายผลนำคืนผู้เสียหายตามขั้นตอน “MONEY CASH BACK” รวมยอดทั้งหมดกว่า 250 ล้านบาทวอร์รูมปราบแก๊งคอลคืนเงินเหยื่อต่อเนื่อง เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 26 ก.ย.ที่ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (Warroom IAC) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) หรือ International Anti-Scam and Human Trafficking Syndicate Command Center (Warroom IAC) มอบหมาย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท./ที่ปรึกษา ศกค.และผู้เกี่ยวข้อง แถลงผลปฏิบัติการของ Warroom IAC แก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการตามอายัดบัญชีม้าได้อีกกว่า 1 ล้านบาท นำคืนผู้เสียหาย 2 ราย ตามปฏิบัติการ “MONEY CASH BACK”การปฏิบัติการของ Warroom IAC ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.-26 ก.ย.68 มีเคสที่นำเข้าวอร์รูม 716 เคส มูลค่าความเสียหายรวม 429.6 ล้านบาท จากการดำเนินการสามารถอายัดได้ 328 เคส มูลค่าทรัพย์สินที่อายัดได้ 143.4 ล้านบาท และยังจับกุมเครือข่ายบัญชีม้าติดตามนำคืนให้แก่ผู้เสียหายตามขั้นตอน “MONEY CASH BACK” รวมเงินกว่า 250 ล้านบาท ล่าสุด ได้ติดตามอายัดเงินคืนผู้เสียหาย 2 ราย 2 คดี รวม 1,134,760 บาทกรณีแรกเมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 มีผู้เสียหายรายหนึ่งพบบัญชีเฟซบุ๊กแฟนเพจชื่อว่า “animal frames” ลงโฆษณาเกี่ยวกับการซื้อขายรูปภาพสัตว์เลี้ยง ผู้เสียหายสนใจสมัครแล้วส่งภาพสัตว์ไปให้เพจดังกล่าว ปรากฏว่าได้รับค่าตอบแทนจริง ต่อมาเพจดังกล่าวชักชวนให้ผู้เสียหายทำกิจกรรมโอนเงินเพื่อลงทุน ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปทั้งสิ้น 418,226 บาท ต่อมา กก.2 บก.สอท.4 รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับและสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้แล้วบางส่วน และสามารถจับกุมชายอายุ 24 ปี 1 ในขบวนการ พร้อมทั้งประสานงานธนาคารเพื่ออายัดเงินในบัญชีธนาคารผู้ต้องหาที่ผู้เสียหายโอนเข้าเพื่อลงทุนตามที่ถูกหลอกลวง เป็นเงิน 140,000 บาท ด้านผู้ต้องหาให้การว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินที่อายัดไว้ ไม่โต้แย้งในกรรมสิทธิ์และยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งมอบเงินในบัญชีตามจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่ผู้เสียหายกรณีที่ 2 เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.68 มีมิจฉาชีพโทรศัพท์หาผู้เสียหาย แจ้งว่าจะคุ้มครองเงินฝากให้แก่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลงเชื่อทำตามขั้นตอนที่มิจฉาชีพบอก เริ่มจากการเข้าไปในแอปพลิเคชันของธนาคาร เปลี่ยนการตั้งค่าเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นให้ผู้เสียหายสแกนคิวอาร์โค้ดและสแกนใบหน้า โดยมิจฉาชีพจะคอยบอกและควบคุมผู้เสียหายให้ทำตามทีละขั้นตอน แต่ภายหลังผู้เสียหายเอะใจเข้าไปตรวจสอบยอดเงินในธนาคาร จึงทราบว่าเงินของตนเองถูกโอนออกไป 1,435,250 บาท ชื่อบัญชีนายณัฐวุฒิต่อมา ว่าที่ พ.ต.อ.วิศรุตม์ จันทร์สุวรรณ ผกก.1 บก.สอท.2 สั่งการให้ชุดสืบสวนและพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายเรียกนายณัฐวุฒิมาพบและถูกแจ้งข้อกล่าวหาเรียบร้อย จากกรณีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถประสานงานธนาคารเพื่ออายัดเงินในบัญชีธนาคารของนายณัฐวุฒิไว้ได้ 994,760 บาท เบื้องต้นรับสารภาพ นำบัญชีไปให้ผู้อื่นใช้งานโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินที่อายัดไว้ และยินยอมให้เจ้าหน้าที่ส่งมอบเงินในบัญชีตามจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่ผู้เสียหาย ส่วนผู้ต้องหารายอื่นอยู่ระหว่างสืบสวนจับกุมวันเดียวกัน ที่ บก.สอท.3 อ.เมืองขอนแก่น พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.3 แถลงข่าวอายัดบัญชีม้าผู้ต้องขังในเรือนจำ สืบเนื่องจากวันที่ 28 พ.ย.67 มีผู้เสียหายเป็นแม่ค้าขายขนมในตลาดสดเทศบาลหนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ เข้าแจ้งตำรวจท้องที่ ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นตำรวจกล่าวหาเป็นบัญชีม้า ล่อลวงให้โอนเงินไป 15,189 บาท เข้าบัญชีคนร้าย หลังรับแจ้งความได้ประสานตำรวจไซเบอร์สืบสวนจนทราบว่าเงิน 15,189 บาทของผู้เสียหายได้โอนเข้าบัญชีม้า เจ้าของบัญชีเป็นผู้ต้องขังคดียาเสพติดในเรือนจำมีนบุรี ชื่อนายหลุยส์ อายุ 45 ปี ตำรวจไซเบอร์รีบประสานธนาคารระงับการเบิกถอน พร้อมสอบสวนนายหลุยส์ทราบว่าเปิดบัญชีเมื่อวันที่ 23 พ.ย.67 ก่อนถูกจับ หลังถูกคุมขังในเรือนจำไม่ทราบเรื่องที่มีเงินเข้าบัญชี และยินยอมให้เจ้าหน้าที่นำเงินมอบคืนผู้เสียหายอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่