“กัมพูชา” ส่อแววเบี้ยว ไม่ทำตามข้อตกลง GBC ล่าสุดในการถอนอาวุธหนัก ยุทโธปกรณ์ ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดน “มทภ.2” ชี้มีแต่ระดมสรรพกำลัง-อาวุธเข้ามาเพิ่ม ลั่นหากเขมรยังยั่วยุไม่คุยด้วยแล้ว ส่วน กปช.จต. อาจเลื่อนการประชุม RBC ด้านกองทัพไทยยัน “บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน)” อยู่ในเขตแดนไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน JBC รับรองแล้ว แต่สถานการณ์ “บ้านหนองหญ้าแก้ว-หนองจาน” ทุกหน่วยยังตรึงกำลังเข้ม หลังกัมพูชาระดมคนเข้ามาสังเกตการณ์ไทยไม่ละสายตา หวั่นก่อหวอดใช้โล่มนุษย์ “ประชาชนเดินนำหน้า ทหารเดินตามหลัง” หวังผลทางการทูต ขณะที่ ผวจ.สระแก้ว ลั่นหากเขมรไม่ย้ายออกจากพื้นที่รุกล้ำหลัง 10 ต.ค. ส่งภารกิจต่อให้กองทัพจัดการขั้นเด็ดขาดไทยเตรียมพร้อมประชุมคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ที่เป็นการนำผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) เมื่อ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ไปสู่การปฏิบัติ ที่กำหนดให้มีการถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดน กลับสู่ที่ตั้งปกติภายใน 3 สัปดาห์ โดยเมื่อวันที่ 22 ก.ย. พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ระบุถึงการเตรียมประชุม RBC วาระพิเศษ ระหว่างกองทัพภาคที่ 1 และภูมิภาคทหารที่ 5 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24-26 ก.ย.นี้ ที่ปอยเปต กัมพูชา โดยกองทัพภาคที่ 1 จะนำแผนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดไปเสนอ รวมถึงการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้วขณะที่ในส่วนของกองทัพภาค 2 ที่ดูแลพื้นที่ 4 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 เปิดเผยความคืบหน้าการนัดประชุม RBC จัดทำแผนดำเนินการถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ฝ่ายกัมพูชายังไม่มีท่าทีที่จะดำเนินการ มีแต่จะเพิ่มกำลังในพื้นที่ ยังไม่ชัดว่าจะสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ และยังไม่ได้มีการกำหนดการประชุม RBC คาดว่าจะเป็นต้นเดือน ต.ค.นี้“การทำแผนถอนอาวุธ คงดำเนินการไปอย่างนั้น ตามทฤษฎี และเชื่อว่ากัมพูชาคงไม่นำไปสู่การปฏิบัติ ต่อไปนี้หากกัมพูชามีพฤติกรรมยั่วยุ เราจะไม่คุยต่อไปแล้ว ปัจจุบันพบว่ากัมพูชายังใช้โดรนบินเข้าพื้นที่อธิปไตยของไทยทุกวัน และยังพบว่ามีการฝังทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอยู่เรื่อยๆ” พล.ท.บุญสินกล่าว พร้อมขอบคุณที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความเชื่อมั่นและไฟเขียวกองทัพในการแก้ไขปัญหาชายแดน หลังประกาศให้อำนาจกองทัพตัดสินใจ เปิด-ปิดด่านและสร้างรั้วชายแดนเต็มที่ส่วนกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ได้เลื่อนการประชุม RBC ออกไปก่อนเนื่องจากมีกรณีการผ่อนปรนด่านจันทบุรี-ตราด เข้ามาในช่วงนั้น และในวันที่ 30 ก.ย. ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ได้ให้แต่ละพื้นที่สำรวจเพื่อทำแผนไว้ภายใน 1 เดือน แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นด้าน พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ได้ออกมาตอบโต้กรณีกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก “Royal Thai Army” ที่แสดงภาพภูมิประเทศและตำแหน่งที่ตั้งของเสาหลักเขตแดนหมายเลข 42 และ 43 อยู่ในพื้นที่ อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ประเทศไทย โดยอ้างว่า พื้นที่ไปรจันที่ตั้งอยู่ระหว่างเสาหลักเขตแดน 42 และ 43 เป็นพื้นที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันที่ปักเขตบนพื้นที่ ว่าหลักเขตแดนที่ 42 ตั้งอยู่ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และหลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนหมากมุ่น ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยการกำหนดแนวเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นตรงจากหลักเขตแดนที่ 41 มายังหลักเขตแดน ที่ 42 และต่อเนื่องไปยังหลักเขตแดนที่ 43 จากนั้นแนวเขตแดนจะไปตามคลองระลมระสือจนถึงหลักเขตแดนที่ 44สำหรับกระบวนการสำรวจ ชุดสำรวจร่วมไทย-กัมพูชาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ 1 ของ TOR คือ การสำรวจสภาพ และที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้งหมด 74 หลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 โดยในส่วนของหลักเขตแดนที่ 42 ได้สำรวจเมื่อวันที่ 2-29 ต.ค. 2549 พบว่ายังอยู่ในสภาพดี แต่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกันใน เรื่องที่ตั้ง ประมาณ 80 เมตร ส่วนหลักเขตแดนที่ 43 สำรวจเมื่อวันที่ 8 พ.ย.-12 ธ.ค.2549 พบว่าหลักล้ม และถูกฝังอยู่ในดิน ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงที่ตั้งที่ถูกต้องร่วมกันได้ และได้สร้างหมุดชั่วคราว (Temporary Marker: TM) ไว้ ณ ตำแหน่งดังกล่าวพล.ต.วิทัยกล่าวอีกว่า ผลการสำรวจร่วมทั้งหมด 74 หลัก รวมถึงหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ได้รับการรับรองแล้วในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2568 แต่ยังไม่ได้มีการสำรวจแนวเขตแดนในส่วนของเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ในหลักฐานบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนทั้งสอง ซึ่งเป็นไปตามที่ระบุในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ได้ระบุแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสองพล.ต.วิทัยกล่าวว่า สำหรับบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 เป็นบันทึกของข้าหลวงปักหลักเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส จัดทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1908-1909 โดยใช้ต้นไม้หรือเสาไม้ติดแผ่นโลหะเป็นหลักเขตแดน ต่อมาในปี ค.ศ.1919-1920 ได้เปลี่ยนเป็นหลักคอนกรีตทดแทน ตั้งอยู่ใกล้กับหลักไม้หรือเสาไม้เดิม โดยในแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนของบันทึกวาจาทั้งสองห้วง ได้กำหนดแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักที่ 42 และ 43 โดยแนวเส้นตรงดังกล่าวผ่านกึ่งกลางของหลักเขตแดนทั้งสองอย่างชัดเจน โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทยย้ำด้วยว่า ขอยืนยันว่าบ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนที่เกิดจากความแตกต่างของการลากเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่ได้รับการรับรองร่วมกันแล้ว ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU 2543) และการหารือในระดับคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) อย่างต่อเนื่องสำหรับบรรยากาศที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว- หนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ยังปรากฏกลุ่มชาวกัมพูชาราว 30-40 คน ปักหลักรวมตัวกันอยู่ตามเพิงพักใกล้แนวชายแดน โดยบางส่วนมีการจัดเวรยามผลัดเปลี่ยนคอยสังเกตความเคลื่อนไหวฝั่งไทยอย่างไม่ลดละ และไม่มีท่าทีจะสลายตัวออกจากพื้นที่ ทั้งนี้ แหล่งข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่ เปิดเผยว่า การปักหลักอย่างต่อเนื่องของมวลชนกัมพูชา รวมถึงการเสริมกำลังด้วย “แก๊งแครอท” หรือกลุ่มคนที่แต่งกายเลียนแบบพระ ถือเป็นพฤติกรรมที่ต้องจับตา เนื่องจากอาจเป็นการจัดฉาก หรือใช้ “ประชาชนเดินนำหน้า ทหารเดินตามหลัง” เพื่อสร้างแรงกดดันทางการทูต หากเกิดการกระทบกระทั่งเล็กน้อย อาจถูกขยายผลเป็นเหตุการณ์ระหว่างประเทศได้ โดยเจ้าหน้าที่กองกำลังบูรพาและฝ่ายปกครองอำเภอโคกสูง ยังคงเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน ตรวจสอบพื้นที่ และย้ำกับคนไทยตามแนวชายแดนให้คงความสงบ ไม่ตอบโต้หรือยั่วยุ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะที่อาจลุกลามบานปลาย หากมีการเพิ่มแนวรั้วลวดหนามของฝ่ายไทย เชื่อว่าจะเป็นชนวนที่ทำให้มวลชนกัมพูชาออกมาเคลื่อนไหวกดดันมากขึ้นอีกด้าน พ.ต.อ.จตุรภัทร สิงหัษฐิต รอง ผบก.ภ.จ.สระแก้ว หัวหน้าชุดกองร้อยชุดควบคุมฝูงชน (คฝ.) ภ.จ.สระแก้ว เผยว่า ขณะนี้กองร้อยควบคุมฝูงชน (คฝ.) ตร.ภ.2 กว่า 1,400 นาย จาก ตร.คฝ.5 จังหวัด ภาคตะวันออก ได้แก่ สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี เตรียมพร้อมรักษาความสงบในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว กำลังพล คฝ.ทุกนายมีขวัญและกำลังใจที่ดี โดยมีกำลังจากกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดสระแก้ว จำนวน 80 นาย เข้าร่วมภารกิจด้วย และได้เน้นย้ำการปฏิบัติตามกฎหมายทั้งกฎหมายที่มีโทษอาญาตามปกติและการปฏิบัติตามกฎหมายพิเศษ เช่น กฎอัยการศึกส่วนที่ด่านถาวรบ้านเขาดิน อ.คลองหาด เวลา 14.00 น. นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พาคณะสื่อมวลชน พร้อมนายด่านศุลกากรอรัญประเทศ และนายอำเภอคลองหาด มาตรวจสอบหลังมีข่าวลือผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า “มีการเปิดด่านบ้านเขาดิน” สร้างความสับสนแก่ประชาชน ในพื้นที่ โดยบรรยากาศที่ด่านเงียบเหงา รวมถึงตลาดข้างด่าน พ่อค้าแม่ค้าต่างย้ายออกไปขายที่ใหม่เนื่องจากกลัวชาวกัมพูชาเข้ามาปล้นสะดม หลังจากก่อนหน้านี้ข้าวของของพ่อค้าแม่ค้าหลายรายถูกลักขโมยไปจำนวนมาก ทั้งนี้ นายปริญญากล่าวว่า ด่านถาวรบ้านเขาดินปิดทำการมานานแล้ว ทั้งด้านพิธีการทางศุลกากร การค้าชายแดน และการเดินทางข้ามแดน ข่าวที่ออกไปว่าเปิดด่านนั้น เป็นเฟกนิวส์ที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด จังหวัดจึงต้องออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการและสั่งการให้นายอำเภอคลองหาด ในฐานะประธานช่องทางด่านบ้านเขาดิน แจ้งความเอาผิดกับผู้ที่ปล่อยข่าวลือดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทำซ้ำอีก พร้อมเตือนประชาชนให้ใช้วิจารณญาณ ตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าวสารก่อนเผยแพร่หรือส่งต่อนอกจากนี้ นายปริญญายังกล่าวถึงการขีดเส้นตายให้ชาวกัมพูชาย้ายออกจากพื้นที่รุกล้ำใน จ.สระแก้ว ภายใน 10 ต.ค.นี้ ด้วยว่าหลังจากวันที่ 10 ต.ค.จะเป็นเรื่องระดับนโยบายที่สั่งลงมา ก่อนหน้านี้ทำหนังสือแจ้งเขาแล้วให้ออกจากพื้นที่โดยติดประกาศ 3 ภาษา หลังจากนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของระดับนโยบายที่สั่งการลงมาในพื้นที่ว่าจะทำอย่างไร ท่านนายกฯก็บอกแล้วว่ามอบอำนาจให้ทหาร กองทัพบริหารจัดการขั้นเด็ดขาดอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่