สถานการณ์ตึงเครียด “ระหว่างไทย-กัมพูชา” ตามแนวชายแดนดูท่าทียังคงไม่สงบลงจริงได้โดยง่าย เนื่องจากปรากฏพบความเคลื่อนไหว “ฝ่ายกัมพูชา” มีการเพิ่มเติมกำลัง และลักลอบวางทุ่นระเบิดในพื้นที่เขตไทย และพื้นที่ทับซ้อนต่อเนื่อง สะท้อนแสดงเจตนาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจนการกระทำดังกล่าวถือว่า “รุกล้ำเขตแดนไทย” อันเป็นการละเมิด MOU 2543 แม้ฝ่ายไทยจะทำหนังสือประท้วงด้วยแนวทางสันติมาตลอด “ฝ่ายกัมพูชากลับเพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา” เช่นนี้นำไปสู่ข้อถกเถียงจนมีเสียงเรียกร้องให้ยกเลิก MOU43 และ MOU44 ในเรื่องนี้ คำนูณ สิทธิสมาน อดีต สว. เล่าว่าถ้าย้อนดูช่วงเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา 5 วัน “กองทัพภาคที่ 2” ออกมาแถลงข่าวชัดเจนว่าฝ่ายไทยต่อสู้ให้ได้มาซึ่งแนวเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 ที่เป็นแผนที่ที่ยึดถือแล้วเชื่อว่าสังคมก็เข้าใจว่า “ไทยยึดแผนที่นี้” แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะการลงนาม MOU43 ตามข้อ 1 (ค) เสมือนไทยไปยอมรับแผนที่ 1:200,000 เสียแล้ว จนไม่กี่วันมานี้กระทรวงการต่างประเทศแถลงข่าวว่า “ไทยไม่อาจหนีแผนที่ 1:200,000 ได้” กลายเป็นปัญหาทันทีว่าเราเสียสละชีวิตเลือดเนื้อทหารหาญ และความเดือดร้อนพี่น้องประชาชนไปเพื่ออะไร? เพราะเมื่อกลับสู่โต๊ะเจรจากลับดำเนินการภายใต้กรอบ MOU43 ที่ข้อ 1 (ค) ยังมีอยู่เช่นเดิมแบบนี้การเจรจาจะรู้เรื่องได้อย่างไรด้วยปัญหามาจาก “แผนที่ 1:200,000” ที่ใช้อ้างอิงในการเจรจากับกัมพูชา 7 ระวาง ตัวอย่างเห็นชัดๆ “ระวางดงรัก จ.ศรีสะเกษ” มีความผิดพลาดจนนำไปสู่การฟ้องศาลโลก “ไทยต้องเสียปราสาทพระวิหาร” แต่ศาลโลกไม่ได้ตัดสินเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ระวางดงรัก ทำให้แผนที่ชุดนี้ยังอยู่ให้ 2 ประเทศต้องเจรจาทำหลักเขตแดนกันกระทั่งปี 2554 ศาลโลกตีความอาณาบริเวณปราสาทพระวิหารกว้างกว่าคำตัดสินปี 2505 “ลงมาถึงตีนเขาพระวิหาร” ถ้ายึดแผนที่ 1:200,000 อย่างภูมะเขือก็ถูกระบุอยู่ในเขตกัมพูชา สิ่งนี้คือปัญหาที่เกิดจาก MOU43“เรื่องเขตแดนควรมีหนึ่งเดียวแต่ถูกตีความออกเป็นสองแบบแล้วความจริงควรมีแค่เส้นเขตแดนสันปันน้ำขอบหน้าผาที่ไทยเคยยึดถือเคยใช้ต่อสู้คดีในศาลโลกปี 2505 แต่เมื่อลงนาม MOU43 กลายเป็นยอมรับแผนที่ 1:200,000 ที่เคยปฏิเสธมาตลอด ก็เท่ากับเปิดช่องให้เกิดการตีความใหม่นำไปสู่ข้อพิพาทอย่างที่เห็น” คำนูณ ว่า ทว่าถัดมาดู “MOU2544” ก็เป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับเส้นเขตไหล่ทวีปในทะเลเนื่องจาก “ไทย–กัมพูชากำหนดเขตไม่ตรงกัน” โดยกัมพูชาประกาศเส้นเขตปี 2515 ลากจากหลักเขตบนบกที่ 73 บริเวณแหลมสารพัดพิษ จ.ตราด พาดผ่านเกาะกูด “ไทย” ก็ประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปในปี 2516 โดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ สำหรับลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 “ไปยังจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดของไทย และเกาะกงของกัมพูชา” แล้วต่อออกสู่ทะเลส่งผลให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนแตกต่างกัน 26,000 ตร.กม.และเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเลมหาศาล เช่น แร่ธาตุ และปิโตรเลียม ทำให้ต่างฝ่ายต่างประกาศเขตไหล่ทวีปเป็นของตัวเองดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเปิดทางสู่การเจรจา “ก็จัดทำ MOU44 บรรจุเส้นเขตไหล่ทวีป 2 ฝ่ายไว้ในเอกสารฉบับเดียวกัน” จากที่ควรมีเส้นเขตไหล่ทวีปเดียวกลายเป็นมี 2 แบบ คือ เหนือเส้นละติจูด 11 องศา เหนือ 10,000 ตร.กม.และใต้เส้น 16,000 ตร.กม.กำหนดให้พัฒนาร่วม และดำเนินการแบ่งเขตควบคู่ชนิดแยกกันไม่ได้เหตุนี้ภาคประชาชน และอดีตนายทหารเรือบางส่วนต่างก็เห็นตรงกันว่า “MOU 44 ควรยกเลิก” เพราะปกติประเทศพรมแดนติดกันนั้นเขตไหล่ทวีปต่างกันได้ “แต่ไม่ต่างกันมากขนาดนี้” โดยทั่วไปจุดเริ่มต้นเส้นเขตจะลากจากชายฝั่งมักใกล้เคียงกัน หรือเป็นเส้นเดียวก่อนค่อยๆเบี่ยงออกเมื่อเข้าสู่ทะเล สามารถเจรจาตกลงกันได้ หากกรณีตกลงไม่ได้ “ก็กำหนดเป็นเขตพัฒนาร่วมอย่างไทย–มาเลเซีย” แต่ในกรณีไทย-กัมพูชาเส้นเขตไหล่ทวีปต่างกันมาก “การเจรจาแบ่งผลประโยชน์จึงทำได้ยาก” เพราะไทยยึดตามกฎหมายสากล ส่วนกัมพูชาลากเส้นทับเกาะกูดอันเป็นอธิปไตยของไทย 1,000% ตามสนธิสัญญา 1907ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา “จึงมีผู้ที่เห็นว่าควรยกเลิก MOU2543 และ MOU 2544” ในส่วนการยกเลิก MOU ฝ่ายเดียวนั้นได้หรือไม่ เรื่องนี้ถ้ารับฟังคำชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศบอกว่า “ทำไม่ได้” เพราะ MOU 2 ฉบับนี้มีสถานะเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ หากจะมีการยกเลิกต้องได้รับความยินยอมทั้ง 2 ฝ่ายเรื่องนี้มีข้อเสนอว่า “หากไทยต้องการยกเลิก MOU จริงๆ” สามารถศึกษาหาวิธีการทำให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศได้ “เพียงแต่ว่าเราคิดจะยกเลิกจริงหรือไม่...?” เพราะในช่วงปลายปี 2552 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยมีมติ ครม.มอบให้กระทรวงการต่างประเทศไปศึกษามาแล้วแต่ก็ไม่มีข้อสรุปใดๆเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปในปี 2557 “ครม.ก็มีมติยกเลิกมติศึกษาการยกเลิก MOU ของปี 2552” เช่นนี้หากเราเห็นว่า MOU ไทย-กัมพูชาก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ไม่มีความจำเป็นอีกหรือข้อตกลงผ่านมา 24-25 ปีกลับมีข้อถกเถียงมากมายและไม่คืบหน้าในทางปฏิบัติใดๆ ครม.สามารถมีมติศึกษาหาวิธีการยกเลิก MOU ใหม่ก็ได้ตอกย้ำแม้ว่า “MOU 2543” มักอ้างถึงข้อดีข้อที่ 5 ห้ามทั้ง 2 ฝ่ายเปลี่ยนแปลงในพื้นที่พิพาท เพื่อรักษาความสงบ แต่คำถามทำได้ผลจริงหรือไม่? ด้วยเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงปัญหานับตั้งแต่มี MOU43 ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงกว่า 600 ครั้ง ทั้งสร้างตลาด ชุมชน และอนุสาวรีย์ในพื้นที่พิพาทมาโดยตลอด ขณะที่ไทยทำได้แค่ “ยื่นประท้วงนำไปสู่การปะทะกัน” ดังนั้นตามข้อ 5 กัมพูชาไม่ได้เคารพข้อตกลงเลย และแม้แต่ข้อ 8 ระบุให้เจรจาผ่านทวิภาคี หากตกลงกันไม่ได้กัมพูชาก็นำ 4 จุดพิพาทนั้นไปยื่นศาลโลก สะท้อนว่า “กัมพูชาไม่ได้เคารพ MOU 2543” เลือกยึดปฏิบัติตามเฉพาะข้อที่ได้ประโยชน์ เช่น ข้อ 1 (ค) อ้างถึงแผนที่ 1:200,000ส่วนตัวเห็นว่าไทยอาจเสี่ยงเสียประโยชน์จาก MOU และจะเกิดปัญหาในอนาคต จึงเป็นเหตุผลให้ต้องหยิบยกกลับมาพูดก็เพราะ “ฝ่ายทหารไทยยึดแผนที่ 1:50,000” ในยุทธศาสตร์ และความมั่นคงเป็นหลัก แต่ผู้นำรัฐบาลหลายคนกลับไม่มีความชัดเจน “เรื่องแผนที่ 1:200,000” ทั้งที่ใน MOU 2543 ข้อ 1 (ค) ระบุไว้ให้ใช้แผนที่ฉบับนี้เป็นพื้นฐานในการเจรจาโดยไม่มีการกล่าวถึงแผนที่ 1:50,000 แต่อย่างใดเลยด้วยซ้ำสิ่งนี้จะนำไปสู่ความคลุมเครือ “กลายเป็นปัญหาในการเจรจาต่อไปในอนาคต” ซึ่งก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้คัดค้าน MOU2543 และ MOU2544 ยกขึ้นมาเป็นข้อกังวลหลักครั้งนี้...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม