กว่าจะมาเป็น พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 นั้นไม่ง่าย ชีวิตลูกอีสานแท้ พ่อแม่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แถมยังมีพี่น้องถึง 9 คน แต่ความพยายามเท่านั้นเป็นต้นทุนชีวิต สัมผัสชีวิต “แม่ทัพกุ้ง” ผู้บัญชาการรบเบื้องหลังปฏิบัติการ “ยุทธบดินทร์” จากกรณีพิพาทเขตแดนไทย–กัมพูชา“เกิดที่จังหวัดหนองคาย เวลานั้นเป็นอำเภอบึงกาฬ พ่อเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย มาเรียนหนังสือที่ จ.อุดรธานี เป็นคนอีสานโดยแท้...ตอนเด็กๆ ก็เป็นเหมือนกับหลายๆ ครอบครัวแถวบ้านนอก สมัยปี 2508 ค่อนข้างมีความเป็นชนบท คุณพ่อเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย ผมเกิดมาพ่อก็ยศสิบตำรวจเอกแล้ว”แรงบันดาลใจที่อยากเป็นทหาร– ตำรวจ อิทธิพลส่วนหนึ่งเพราะมีคุณพ่อเป็นตำรวจ อยู่ในช่วงของการปราบปรามคอมมิวนิสต์ เป็นตำรวจภูธรที่ทำหน้าที่คล้ายกับทหาร ไม่ค่อยได้อยู่กับครอบครัว อาชีพของบิดาได้จุดประกายให้ลูกชาย 3-4 คน เดินเข้าสู่เส้นทางรับราชการทหาร-ตำรวจ อีกหนึ่งในแรงบันดาลใจของการเป็นทหาร คือหนังไทยเรื่อง “เตือนใจ” ดูจากหนังกลางแปลง ได้เห็นชีวิตนักเรียนเตรียมทหารแล้วปลุกไฟฝันให้ลุกโชนพยายามอ่านหนังสือ ลุกขึ้นมาออกกำลังกายฝึกความแข็งแกร่ง ไม่มีเงินไปติว “อ่านเอา ไม่มีเงินไปติว แล้วก็สระว่ายน้ำก็ไม่มีเงินไปเรียน แต่ในเมื่อต้องสอบว่ายน้ำ ก็ไปหาบึงว่ายน้ำเอา ที่บึงก็จะมีปลิงมีอะไร ปลิงก็นับเป็นผู้ช่วยครูฝึกด้วย เพราะเวลาปลิงไล่ มันทำให้เราต้องสปีดนะ หนีปลิงไป ก็ว่ายไปด้วย”เล่าไปก็ขำไปเหมือนได้ย้อนคืนสู่วัยเยาว์ ก่อนจะย้ำว่า ทุกเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา เหมือนถูกกำหนดไว้แล้วว่าเพื่อเป็นพื้นฐานของวันนี้ ชีวิตในโรงเรียนนายร้อยฝึกให้ต้องอดทน ห้ามอ่อนแอ ต้องกล้าหาญเบื้องหลังที่เปิดฉากรบกับกัมพูชา เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศไทย“แม่ทัพกุ้ง” เล่าย้อนสาเหตุที่ทำให้ต้องแตกหักกับเพื่อนบ้านว่า ตั้งแต่ วันที่ 13 ก.พ. ที่คนกัมพูชาขึ้นมาร้องเพลงชาติ ที่ ปราสาทตาเมือนธม จนถึง วันที่ 28 พ.ค. ที่ ช่องบก เกิดการปะทะกัน จะเห็นสัญญาณของความไม่ปกติ เข้าข่ายยุทธศาสตร์ของการรุกล้ำ ทั้งใช้มวลชนถี่ขึ้น มีการล้ำอธิปไตย แต่เหตุการณ์ที่เด่นชัดที่สุดคือการเผาศาลาตรีมุข สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของ 3 ประเทศ คือ ไทย กัมพูชา และ สปป.ลาว ที่ บริเวณสามเหลี่ยมมรกต ใกล้ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี สัญญาณแห่งการไม่ให้เกียรติกัน นำมาสู่การสั่งตรวจพร้อมรบทันทีในวันเดียวกันนั้น“วันที่ 23 เป็นวันที่ผมตกลงใจครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ผมพูดเสมอว่าถ้าเราปิดปราสาทตาเมือนธม คือต้องรบกัน...ที่ต้องตัดสินใจปิดปราสาทเพราะประชาชนสอง ประเทศนัดเจอกันที่ตาเมือนธม รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ยากจะควบคุมหากเกิดเหตุจลาจล จึงนำเรียนผู้บัญชาการว่าขอปิดปราสาทตาเมือนธม พร้อมปะทะ และเป็นวันที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาด เป็นตัวแปรเร่งเร้าให้ตัดสินใจ” เวลาตีสองวันนั้นก็มีคำสั่งให้ปิด และในเช้ามืดวันที่ 24 เสียงปืนนัดแรก เปิดฉากมาจากฝั่งกัมพูชา มาจนตอนนี้ ปราสาทตาเมือนธมอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายไทยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่รู้สึกเสียใจกับน้องๆ ทหารที่เสียชีวิตไป ดำเนินการเยียวยาให้ครอบครัว อย่างเต็มที่ กองทัพไม่ทอดทิ้งส่วนการปะทะกันจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ “ขึ้นอยู่กับทางฝั่งกัมพูชา ไม่ใช่ที่เรา หากทางนั้นยั่วยุเร่งเร้าจนต้องใช้กำลัง ก็ย่อมต้องรบกันอีก แต่หากคุยกันรู้เรื่อง คลี่คลาย นโยบายข้างบนเห็นว่ายังสามารถเจรจาได้ ก็จะเป็นอีกแบบ ในเวลานี้กัมพูชายังมีท่าทียั่วยุ การปะทะจึงอาจเกิดขึ้นได้อีกแบบ 50-50”ฟ้าลิขิตให้รับงานใหญ่ : ปฏิบัติการรบไทย–กัมพูชาพิธีกรถามว่า คิดไหมว่าฟ้าลิขิตให้ต้องมารับงานใหญ่ ทั้งที่เพิ่งได้เป็นแม่ทัพปีแรก และกำลังจะเกษียณในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พล.ท.บุญสินรับว่า “ใช่ครับ เป็นงานใหญ่ จำไม่ได้หรอกว่าจะเกษียณวันไหน ลืมไปหมดแล้ว...ทหารอาชีพควรทำหน้าที่ตามแผนงานป้องกันประเทศตามรัฐธรรมนูญ ถ้าตามทักษะคือต้องป้องกันชายแดน รักษาเอกภาพของชาติ ทหารต้องรักษาตรงนี้ไว้เหนือสิ่งอื่นใด”กับคำถามทิ้งท้าย ทหารควรยุ่งกับการเมืองหรือไม่? พล.ท.บุญสินตอบทันควันว่า “ไม่ควรครับ ทหารไม่ควรยุ่งการเมือง ถ้าจะยุ่งต้องลาออกไปทำในนามส่วนตัวท่านเอง เป็นกลางทางการเมืองที่สุด เวลาเลือกตั้งเราจะบอกลูกน้องว่า ให้เป็นกลางทางการเมือง ห้ามไปล้างสมองลูกน้องเด็ดขาด ห้ามมีหัวคะแนนในค่ายเด็ดขาด...ถ้าทหารยุ่งการเมือง คนไทยจะไม่มีที่พึ่ง มันจะเกิดความลำเอียง แต่ถ้าเกษียณแล้วเล่นได้ เริ่มมีคนมาชวนแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ทันเกษียณ ขอบคุณทุกฝ่ายที่มาเชิญ ต่างมีข้อเสนอที่ดี แต่ผมพูดมาเสมอว่าผมไม่เล่นการเมือง...ขอไปทางธรรมดีกว่า”ติดตามได้ที่รายการ Thairath Front Page ทางช่อง YouTube ทางช่อง Thairath News ออกอากาศเวลา 14.30 น. วันพุธที่ 3 ก.ย.นี้ และทุกวันพุธต้นเดือน อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่