ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศ “อินเดีย” เสมือนตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังกลายเป็นประเทศที่ถูกกำแพงภาษีในอัตราที่สูงถึง 50% กระทบสินค้ากว่า 55% ที่อินเดียส่งออกไปยังดินแดนพญาอินทรี ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบด้านเวชภัณฑ์ ยารักษาโรค เสื้อผ้าสิ่งทอ เพชรนิลจินดา เครื่องประดับ ล้วนต้องเสียภาษีกันมหาศาล จนทำให้หลายโรงงานเริ่มตัดสินใจหยุดการผลิตชั่วคราว เนื่องด้วยไม่สามารถสู้กันได้ในเรื่องของความคุ้มที่จะขายสินค้ามาตรการกำแพงภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กับอินเดียตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.เป็นต้นไป มีความพิเศษมากกว่าประเทศอื่นๆ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ผู้นำสหรัฐฯอ้าง “เสียดุลการค้า” เพียงอย่างเดียว แต่พ่วงมาด้วยประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯป่าวประกาศเหมือนกับฉายหนังซ้ำ นั่นคือการกล่าวหาว่าอินเดียมีความผิดเต็มประตูเรื่องการซื้อน้ำมันดิบจาก “รัสเซีย” ถือว่าช่วยเหลือให้รัสเซียมีเงินในการทำสงครามยูเครนนายทรัมป์ประกาศเหมือนตัดเยื่อใย ให้อินเดียกอดคอกับรัสเซียพาเศรษฐกิจที่ล่มสลายลงเหวไปด้วยกันแบบนั้นแหละ รับลูกโดยเหล่าที่ปรึกษาทำเนียบขาว อย่างนายปีเตอร์ นาร์วาโร ที่สาดสีนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียว่า สถานการณ์ความขัดแย้งยูเครนถือเป็น “สงครามของโมดี”“สิ่งที่น่าวิตกกังวลคืออินเดียยังคงหยิ่งผยองมากในเรื่องนี้ พูดมาได้ว่านี่คือเรื่องอธิปไตย จะซื้อน้ำมันจากใครก็เป็นเรื่องของอินเดีย เรื่องนี้งงมากเพราะโมดีเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม อินเดียเป็นประเทศที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน บริหารโดยคนมีสติปัญญา แต่มาจ้องหน้าพูดกับเราว่า จะไม่หยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย”กลายเป็นข้อสรุปที่ชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐฯยุคนายทรัมป์สามารถรวมทุกเรื่องไว้ในตะกร้าใบเดียว มาตรการกำแพงภาษีไม่จำเป็นต้องนำมาใช้ในเรื่องการค้า สามารถใช้ได้กับทุกๆเรื่อง ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็มีลักษณะไม่ต่างอะไรกับการใช้มาตรการ “คว่ำบาตร” ทางเศรษฐกิจเพียงแต่กำแพงภาษีฟังดูนุ่มนวลกว่า และยังเปิดช่องให้นานาชาติ “เจรจาต่อรอง” หรือ “ยอมจำนน” ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐบาลสหรัฐฯแสดงความต้องการหรือกำหนดมาให้แบบเฉพาะเจาะจง โดยตั้งแต่ต้นปี สิ่งที่ประเทศขนาดย่อมยินยอมคือ ไม่เก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ส่วนประเทศหรือกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างก็ประกาศแพ็กเกจเสริมว่าจะมีบริษัทชั้นนำของตนเองเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ เป็นมูลค่ามหาศาลในมุมของรัฐบาลอินเดียนั้น ได้พยายามชี้แจงมาตลอดว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมและไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง คนอื่นก็ซื้อตั้งเยอะแยะทำไมไม่โดนแบบนี้ และหากไม่พอใจสิ่งที่อินเดียขาย เราก็ไม่ได้บังคับให้ซื้อ ซึ่งกรณีอย่างหลังหมายถึงการที่อินเดียไปซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย และนำมากลั่นขายต่อพร้อมแสดงความแข็งกร้าวอย่างต่อเนื่อง มีรายงานแล้วว่าอินเดียกำลังเตรียมการซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียเพิ่มอีก 10-20% เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อในเดือน ส.ค. หรือหากตีเป็นตัวเลข ย่อมหมายถึงการซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียเพิ่มอีก 150,000-300,000 บาร์เรลต่อวันทั้งนี้ คำโต้แย้งของอินเดียไม่ใช่เรื่องบิดเบือนแต่อย่างใด เพราะนับตั้งแต่ชาติตะวันตกเริ่มการแบนน้ำมันรัสเซียในช่วงปลายปี 2565 ระหว่างที่ความขัดแย้งยูเครนดำเนินไปอย่างดุเดือดนั้น ชาติสหภาพยุโรปนั่นเองที่เป็นฝ่ายมาซื้อน้ำมันที่อินเดียนำเข้ามาจากรัสเซียในปริมาณมหาศาลเนื่องจากข้อห้ามไม่ได้ครอบคลุมถึง “พ่อค้าคนกลาง” อินเดียเป็นคนที่นำน้ำมันดิบจากรัสเซียมากลั่นและขายต่อ ช่วงนั้นตัวเลขอินเดียส่งออกน้ำมันไปยุโรปเพิ่มจาก 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (กว่า 200,600 ล้านบาท) ในช่วงก่อนสงครามพุ่งเป็น 20,500 ล้านดอลลาร์ (กว่า 697,000 ล้านบาท) ในช่วงสองปีแรกของสงครามยูเครน โดยมีเนเธอร์แลนด์เป็นผู้ซื้อเบอร์หนึ่ง นำไปปล่อยต่อให้ชาติอื่นๆขณะที่ตัวเลขสถิติก็บ่งชี้ชัด ผู้นำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียอันดับ 1 คือประเทศจีน คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วกว่า 219,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.46 ล้านล้านบาท) อันดับ 2 คืออินเดีย คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วกว่า 133,400 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.53 ล้านล้านบาท) ตามด้วยอันดับ 3 คือตุรกี คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วกว่า 90,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.07 ล้านล้านบาท) ส่วนยุโรปเองถึงซื้อน้ำมันดิบไม่ได้ แต่ยังคงนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย มีการจ่ายเงินให้รัสเซียในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 1,280 ล้านดอลลาร์ (กว่า 43,520 ล้านบาท)อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่อินเดียถูกสหรัฐฯเล่นงานอย่างหนัก ก็มีความประจวบเหมาะกับทิศทางการเจรจาสันติภาพยูเครนของประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ในสภาพติดหล่ม ไม่สามารถโน้มน้าวให้รัสเซียซึ่งมีจุดยืนที่ชัดเจนมาตลอดในเรื่อง “ความมั่นคงของรัสเซีย” และความชอบธรรมของ “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี” ประธานาธิบดียูเครน ยอมจบเกมเร็วได้ตามที่ตัวเองต้องการ จนมีความสุ่มเสี่ยงที่จะสูญเสียเครดิตในฐานะประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ นอกจากนี้ นายทรัมป์ก็ส่งสัญญาณเป็นระยะๆตั้งแต่ช่วงต้นปี ว่าไม่ค่อยพอใจเรื่องเจรจาการค้ากับอินเดีย เนื่องจากอินเดียมีข้อต่อรองกลับมาเต็มไปหมดในเรื่องการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่คำถามสำคัญว่า อินเดียกำลังตกเป็นเหยื่อของการ “เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น” หรือไม่? เพราะหลายต่อหลายครั้งที่อะไรไม่เป็นไปตามแผน นายทรัมป์ก็มักใช้วิธีโยนบาปให้คนอื่น มักพูดอยู่เสมอว่าอันนี้เป็นเพราะอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน อันนี้เป็นเพราะประเทศจีนเอาเปรียบ มาวันนี้เลยมีตัวละครใหม่ที่ชื่อว่าประเทศ “อินเดีย”.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม