เกษียณอายุ 45 จะหางานใหม่ไหวไหม นี่มันฝันร้ายของมนุษย์เงินเดือนชัดๆ “ธนาคารกสิกรไทย” เพิ่งเขย่าความจริงครั้งใหญ่ เปิดโครงการ “เกษียณก่อน เกษมสุข” ให้พนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไปสามารถเลือกเกษียณก่อนวัย พร้อมรับเงินชดเชยก้อนโต เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรขนานใหญ่ และเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้เทคโนโลยี AI และคนรุ่นใหม่ที่มีต้นทุนถูกกว่าเข้ามาแทนที่มันคือสัญญาณเริ่มต้นของการเปลี่ยนโลกแรงงานไทย และเชื่อแน่ว่าตัวเลข 45 ปี จะกลายเป็นตัวเลขมหัศจรรย์ใหม่ของการเออร์ล่ีรีไทร์ในอนาคต นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกการทำงาน มันช็อกใจ!! ตกงานตอนอายุ 45 เพิ่งเข้าวัยกลางคน กำลังไฟแรง แล้วจะไปเริ่มต้นใหม่ทำมาหากินอะไรกูรูการเงินหลายสำนักให้กำลังใจมนุษย์เงินเดือน โดยแนะนำให้ฮึบสู้และมองมุมบวกว่าเป็นโอกาสที่ได้ลาออกแบบมีศักดิ์ศรี พร้อมได้เงินชดเชยสูงกว่ากฎหมายกำหนด แทนที่จะถูกเลย์ออฟจิ้มออกจากงาน นี่คือโอกาสในการวางแผนชีวิตใหม่ได้เร็วขึ้น ขอเพียงแต่เร่งอัปสกิลตัวเองก็ไปต่อได้ในโลกยุคใหม่เราจะเลือกให้ AI ปลดระวางเรา หรือเราจะปลดระวางตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรี และพร้อมสร้างคุณค่าใหม่ที่เครื่องจักรยังเอื้อมไม่ถึง เขตแดนที่ AI เข้าไม่ถึง และสามารถใช้ต่อยอดกลายเป็นคุณค่าใหม่ของมนุษย์เงินเดือนวัยกลางคน ก็มีอาทิ “ความคิดสร้างสรรค์เชิงลึก” AI เก่งเลียนแบบ แต่การสร้างสิ่งใหม่โดยผูกโยงกับประสบการณ์ชีวิตจริง มนุษย์ยังมีพลังมากกว่า, “ความเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง” ไม่ว่าจะเก่งจะฉลาดแค่ไหน แต่ AI ยังขาดหัวใจ และทักษะซอฟต์สกิล เช่น การเจรจาและการสื่อสารอารมณ์, “การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์” AI ตอบได้ทุกเรื่อง แต่ถึงขั้นตอนการตัดสินใจ มนุษย์ยังเก่งกว่าในการมองภาพใหญ่ด้วยประสบการณ์ชีวิตจริง, “การสร้างสายสัมพันธ์” AI ไม่มีตัวตนจริง มีแต่มนุษย์ที่จะสามารถสร้างคอนเนกชัน และต่อยอดความสำเร็จจากความไว้วางใจ และ “การเล่าเรื่องและตีความหมาย” AI เขียนบทความได้ แต่ยังไม่สามารถเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับความทรงจำร่วมของมนุษย์ได้อย่างแท้จริงหาก AI ทำงานแทนมนุษย์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เราอาจไม่ต้องรอจนถึงอายุ 60 เพื่อเกษียณ เพราะตลาดแรงงานจะบีบบังคับให้เราต้องออกไปก่อนจะทันตั้งตัวถามว่าควรนิยามการเกษียณในศตวรรษที่ 21 อย่างไร มันคือเส้นชัยของชีวิตการทำงาน หรือแค่จุดเริ่มต้นของการดิ้นรนครั้งใหม่เพื่อมีชีวิตอยู่รอด เมื่ออายุงานไม่ได้การันตีความมั่นคงอีกต่อไป คนวัย 45+ ที่เคยเป็นกำลังหลักขององค์กร กลับกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ถูกผลักออกจากสนามเร็วกว่าที่คิด เพราะต้นทุนแพงกว่าคนรุ่นใหม่ และไม่สามารถดิสรัปตัวเองให้เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ลองกวาดตาดูชาวโลกว่าเขามีนโยบายเกษียณอายุอย่างไรกันบ้าง หลายประเทศในยุโรปต้องขยายอายุเกษียณเป็น 66-67 ปี โดย “เดนมาร์ก” ตั้งเป้าขยายไปถึงอายุ 70 ปี ในปี 2040 เพราะคนอายุยืนขึ้นและระบบบำนาญใกล้พัง ขณะที่ “ญี่ปุ่น” ต้นแบบประเทศที่เผชิญวิกฤติสังคมผู้สูงอายุ แม้จะสนับสนุนคนสูงวัยให้ทำงานยาว โดยให้บริษัทเปิดโอกาสทำงานต่อได้ถึง 70 ปี แต่หลายองค์กรกลับผลักกลุ่มคนวัย 40+ ออกจากงาน เพื่อเปิดทางให้คนรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศแรกในโลกที่อายุเกษียณจริงขยับไปถึง 70 ปี เป็นมาตรฐาน เพื่อรองรับโครงสร้างประชากรที่ 29% มีอายุมากกว่า 65 ปี ทำสถิติสูงที่สุดในโลก ที่สำคัญเพื่อแก้โจทย์กองทุนบำนาญและภาษีตึงตัว จึงต้องส่งเสริมให้คนทำงานและจ่ายภาษีนานขึ้นคนไทยส่วนใหญ่มองว่า “เกษียณ” คือการออกจากงานมาอยู่บ้าน แต่คนญี่ปุ่นเปลี่ยนกรอบความคิดใหม่ มองว่าถึงจะเกษียณจากบริษัท แต่ยังทำงานต่อได้ และจะไม่เรียกตัวเองว่าผู้เกษียณอายุเด็ดขาดน่าเห็นใจสุดคือ กลุ่มคนวัย 40+ กลางเก่ากลางใหม่ ซึ่งเป็น “เดอะแบก” ที่แบกภาระต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ พร้อมกับดูแลครอบครัวของตัวเอง แต่สุดท้ายกลับเป็นเป้าหมายแรกที่ถูกโละทิ้งจากตลาดแรงงานยุคใหม่ ทั้งๆที่เคยเป็นเสาหลักขับเคลื่อนองค์กรมาตลอด.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม