ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติออกแถลงการณ์ยันกับระเบิดของใหม่ พบชิ้นส่วนเปลือกทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 ใกล้เคียงพบอีก 2 ทุ่น ซัดกัมพูชาลอบกัดไม่เลิก กระทรวงการต่างประเทศประณามกัมพูชาไร้อารยะ เปิดภาพ-คลิปในมือถือทหารกัมพูชา หลักฐานอื้อวางทุ่นระเบิด นำเป็นหลักฐานร้องเรียนกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าและยังละเมิดอนุสัญญาออตตาวาชัดเจน “บิ๊กป้อม” หนุนกองทัพสร้างกำแพงกั้นเขตแดนถาวร เผยรถดูดส้วม 14 คันจอดประชิดชายแดนบ้านหนองจาน “ภูมิธรรม” ติงหวั่นเสียภาพลักษณ์ประเทศ ด้านกัมพูชาเงียบกริบหลังเจอขบวนรถดูดส้วมยกขบวนมาตามคำเรียกร้องทหารกัมพูชายังลอบกัดไม่เลิก ล่าสุดแอบวางทุ่นระเบิดสังหารที่บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ทำให้ทหารไทยที่ออกเดินลาดตระเวนในเขตปฏิบัติการ บริเวณพื้นที่ด้านขวาของปราสาทตาควาย เหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บ 3 ราย มีพลทหาร อดิศร ป้อมกลาง สังกัด ร.23 พัน.1 บาดเจ็บ ขาขวาท่อนล่างขาด จ.ส.อ.ณัฐพงศ์ สีชิน สังกัด ร้อย.อวบ.ที่ 2 สนาม ร้อย.ร.221 มว.3 ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณหลัง บาดเจ็บเล็กน้อย พลทหาร ธรรณ์ณธร เทากระโทก ร้อย.อวบ.ที่ 1 สนาม ร้อย.ร.221 มว.3 บาดเจ็บที่ข้อมือซ้าย การกระทำของกัมพูชาเป็นการกระทำที่จงใจละเมิด ฝ่าฝืนอนุสัญญาออตตาวาและข้อตกลงหยุดยิงครั้งแล้วครั้งเล่าประณามละเมิดลอบกัดไม่เลิกเมื่อวันที่ 28 ส.ค. พ.อ.ศิวะ หว่างอากาศ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่า นับเป็นเหตุการณ์ครั้งที่ 3 หลังจากฝ่ายไทยและกัมพูชา มีข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน จากที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา การกระทำของฝ่ายกัมพูชาครั้งนี้ ปรากฏชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงจงใจละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ลอบโจมตีกำลังพลฝ่ายไทยด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มุ่งคุกคามฝ่ายไทยและรุกล้ำอาณาเขตของไทยอย่างชัดเจน ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชาว่า แสดงออกถึงความไม่จริงใจ ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสอง เป็นอุปสรรคสำคัญในการนำไปสู่การสร้างสันติภาพในภูมิภาค รวมทั้งเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อทุกประเด็นที่กัมพูชาเคยให้คำมั่นต่อประชาคมโลกในทุกกรอบเวทีประชุมต่างๆ ที่ผ่านมาศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแถลงการณ์ต่อมาศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ออกแถลงการณ์ กรณีกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิด สังหารบุคคล ที่ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก ว่า เป็นทุ่นระเบิดวางใหม่ จากการสำรวจและพิสูจน์ทราบบริเวณพื้นที่เกิดเหตุฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิดของกองกำลังสุรนารี พบชิ้นส่วนเปลือกทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิดระเบิดอยู่กับที่ แบบ PMN-2 ตกกระจายอยู่บริเวณปากหลุมระเบิด ตรวจพบทุ่นระเบิด สังหารบุคคลชนิดระเบิดอยู่กับที่แบบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 2 ทุ่น บริเวณพื้นที่เกิดเหตุฯ มีสภาพใหม่ สังเกตได้จากองค์ประกอบต่างๆ คือ 1.สีของตัวทุ่นระเบิด ยังมีความเขียวสด 2.ตัวอักษรและตัวเลขที่ปรากฏบนตัวทุ่นระเบิด ยังมีความคมชัดเจน 3.สลักนิรภัยและองค์ประกอบต่างๆ ของทุ่นระเบิดมีสภาพใหม่และรูปแบบการวางทุ่นระเบิด เป็นการวางในรูปแบบเดิมที่กัมพูชาใช้วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล คือ มีลักษณะการวางเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีประมาณ 2-3 ทุ่น การวางลักษณะนี้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงเจตนามุ่งทำร้ายทหารไทยอย่างชัดเจน 4.พื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติได้เก็บกู้กวาดล้างทุ่นระเบิดไปแล้วเมื่อ พ.ศ.2563 ไม่มีการพบทุ่นระเบิดฯ PMN-2 ในการปฏิบัติงาน ได้รายงานให้ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ทราบเรียบร้อยแล้วกต.ซัดกัมพูชาไร้อารยะที่กระทรวงการต่างประเทศ บ่ายวันเดียวกัน นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษก กระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ชนิด PMN-2 ที่กัมพูชาลอบวางขณะลาดตระเวน ในพื้นที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ว่า เป็นเหตุการณ์ความสูญเสียครั้งที่ 6 ที่เกิดจากอาวุธร้ายแรงที่ไร้มนุษยธรรม เป็นการกระทำที่ไร้อารยะ ไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนไทย เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ทั้งยังเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อได้ว่าฝ่ายกัมพูชาน่าจะวางแผนใช้ทุ่นระเบิดอย่างเป็นระบบตลอดพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มีเจตนาคุกคามต่อทหารฝ่ายไทยโดยเฉพาะจากจุดเกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ไทยในเส้นปฏิบัติการของฝั่งไทยเปิดภาพ–คลิปมือถือหลักฐานอื้อต่อมาเวลา 15.15 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพบก ทันกระแสโพสต์คลิปวิดีโอเปิดเผยภาพและคลิปในโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชา ที่ทหารไทยเก็บได้บนภูมะเขือก่อนหน้านี้ ทั้งภาพและคลิปในโทรศัพท์มือถือเครื่องดังกล่าว เผยให้เห็นหลักฐานที่น่าจะมีความเชื่อมโยงไปถึงทหารกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในฝั่งไทย นอกจากนี้ เพจกองทัพบกทันกระแสยังได้โพสต์ข้อความว่า ตอบโต้มาลีด้วยหลักฐานไม่ใช่ลมปากลอยๆ เปิดโทรศัพท์ทหารกัมพูชาที่เก็บได้ มีข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดที่เชื่อมโยงว่าคือ ทหารกัมพูชา METADATA ที่ตรวจสอบได้ มีภาพและคลิปเสียงการปฏิบัติการในฐาน ที่ตั้งกัมพูชา มีข้อความรายงานการขุดหลุมขวาก ตอกย้ำตอกหน้าไทยไม่ได้จัดฉาก หรือสร้างข่าวปลอม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คลิปทั้งหมดในมือถือเครื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้นำไปเป็นหลักฐานในการร้องเรียนว่ากัมพูชาละเมิด อนุสัญญาออตตาวาชัดเจนตัดชายผ้าถุงให้พกเป็นเครื่องรางวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวไทยรัฐเดินทางไปที่บ้านพลทหารที่เหยียบกับระเบิดขาขาดเป็นรายที่ 6 คือ พลทหารอดิศร ป้อมกลาง อายุ 22 ปี สังกัดกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 23 อยู่เลขที่ 25 หมู่ 5 บ้านบุไท ต.ทุ่งสว่าง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา พบกับนายไหลและนางเสาวลักษณ์ ป้อมกลาง พ่อแม่พลทหารอดิศร พบว่ามีญาติพี่น้องมาให้กำลังใจพ่อแม่จำนวนหนึ่ง นางเสาวลักษณ์เล่าว่า พลทหารอดิศรเป็นลูกชายคนเล็ก เมื่อปี 67 ลูกเกณฑ์ทหารจับได้ใบแดง ไปเป็นทหารเกณฑ์ผลัด 2 เมื่อวันที่ 1 พ.ย.67 สังกัดกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 23 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา ก่อนไปประจำการอยู่ที่ชายแดน จ.สุรินทร์ ลูกชายแต่งงานกับ น.ส.กฤตติพร สมน้อย อายุ 21 ปี มีลูกสาว 1 คน อายุ 3 ขวบ และก่อนลูกเดินทางไปเป็นทหาร ตนได้ตัดชายผ้าถุงให้ลูกชายพกติดตัว เป็นเครื่องรางของขลังยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้แคล้วคลาดปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของไทยแพทย์เผยการผ่าตัดผ่านด้วยดีด้าน นพ.นาวิน ขันธรักษา ศัลยแพทย์โรงพยาบาลสุรินทร์ แพทย์ที่ทำการผ่าตัดรักษา เปิดเผยว่า ใช้เวลาผ่าตัดเกือบ 2 ชั่วโมงและไม่สามารถรักษาข้อเท้าขวาไว้ได้ จึงต้องตัดช่วงหน้าแข้งและผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดที่ข้อมือขวา ใบหน้ากับตามร่างกายออกทั้งหมด มีเพื่อนๆของพลทหารอดิศรพากันบริจาคเลือด ทำให้การผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดีตอนนี้ ไม่มีเลือดออกแล้ว แต่ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อระวังแผลติดเชื้อและจะต้องพักรักษาตัวต่อเนื่อง 2-3 สัปดาห์ที่โรงพยาบาลหัวหน้าชุดโดนสะเก็ดที่หลังวันเดียวกัน นางประภาพร นโรปการณ์ ผู้สื่อข่าว ไทยรัฐประจำ จ.บุรีรัมย์ เดินทางไปที่บ้านของ จ.ส.อ.ณัฐพงศ์ หรือตาล สีชิน อายุ 37 ปี บ้านดอนอะราง อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ หัวหน้าชุดที่พาลูกน้องเดินลาดตระเวนและบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณหลัง แต่ไม่พบพ่อแม่ของ จ.ส.อ.ณัฐพงศ์ เนื่องจากเดินทางไปเยี่ยมลูกที่ รพ.สุรินทร์ พบเพียงนางพิรุณ โยงทองหลาง อายุ 54 ปี ญาติของ จ.ส.อ.ณัฐพงศ์ นางพิรุณเล่าว่า หลังทราบข่าวหลานตกใจมากไม่รู้ว่าบาดเจ็บแค่ไหน มีความเป็นห่วง พอทราบว่าเจ็บไม่มากก็ดีใจ แต่เสียใจที่ลูกน้องจ่าตาลต้องขาขาดมวลชนไทยแห่ให้กำลังใจส่วนบรรยากาศที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ช่วงสายวันที่ 28 ส.ค. มวลชน ชาวไทยทั้งคนในพื้นที่และจากต่างจังหวัดกว่า 1 พันคน ทยอยเดินทางกันมาที่จุดตรวจ 40 บ้านหนองจาน ให้กำลังใจทหารและแสดงออกถึงการทวงคืนผืนแผ่นดินไทยอย่างคึกคัก ต่อมาคณะของ “กัน จอมพลัง” พร้อมรถดูดส้วม จำนวน 14 คัน เดินทางมาถึง สร้างความยินดีและเป็นที่เฮฮาแก่มวลชนที่มาชุมนุม นอกจากนี้คณะกัน จอมพลัง ยังนำรถแห่เครื่องเสียงเข้ามาด้วย ทำให้บรรยากาศมีความคึกคัก มีชาวบ้านนำอาหาร น้ำดื่มมาแจกจ่ายให้ผู้ชุมนุม บางส่วนนำอาหารและเครื่องดื่มมาตั้งขายเหมือนมีตลาดนัดย่อยๆรถดูดส้วม 14 คันถึงหนองจานผู้สื่อข่าวรายงานว่า รถดูดส้วมของคณะกัน จอมพลัง ไม่สามารถขับเข้าไปจอดประชิดแนวรั้วลวดหนามชายแดนบ้านหนองจานได้ เนื่องจาก จนท.กองกำลังบูรพาขอร้องไว้เนื่องจากจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าและหากเกิดการปะทะกันของประชาชน อาจทำให้กัมพูชานำไปฟ้องชาวโลกว่าไทยผิดข้อตกลงในการยั่วยุกัมพูชา อีกทั้งสภาพพื้นที่ค่อนข้างแคบและจำกัด ดังนั้น คณะกัน จอมพลัง ต้องนำรถดูดส้วมไปจอดไว้ด้านนอก ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 2 กิโลเมตรแทนฝั่งกัมพูชาหุบปากหลังเจอรถส้วมขณะที่บรรยากาศฝั่งกัมพูชา ตรงข้ามบ้านหนองจาน หลังจาก 2-3 วันที่ผ่านมา มีทหารกัมพูชาปลุกระดมเกณฑ์มวลชนชาวกัมพูชาทั้งเด็ก คนแก่และผู้หญิงนับร้อยคน มาป่วนบริเวณรั้วลวดหนามหีบเพลงชายแดนบ้านหนองจาน พร้อมทั้งตะโกนด่าทอทหารไทยตลอดเวลา ทั้งมีอินฟลูเอนเซอร์ชาวกัมพูชามาไลฟ์สดท้าชน “กัน จอมพลัง” เรื่องรถดูดส้วม แต่เมื่อกัน จอมพลังนำรถดูดส้วมรวม 14 คันมาประชิดชายแดนกัมพูชา ปรากฏว่าฝั่งกัมพูชาในวันที่ 28 ส.ค. มีบรรยากาศเงียบมากไม่มีชาวกัมพูชามาโวยวายตะโกนด่าทอทหารไทย มีเพียงมวลชนชาวกัมพูชาไม่ถึงร้อยคนเดินไปเดินมาเท่านั้นติงเรื่องรถส้วมส่งผลภาพลักษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.15 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ เผยถึงกรณีมีอินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่ง เตรียมนำรถดูดส้วมไปฉีดใส่มวลชนชาวกัมพูชาที่แนวชายแดนบ้านหนองจาน จะส่งผลถึงภาพลักษณ์ของไทยต่อนานาชาติหรือไม่ ว่า ต้องมองอย่างแยกแยะ กรณีนี้เป็นเรื่องของความรู้สึก ความคิดเห็นรายบุคคล ตนไม่อยากพูด เดี๋ยวทัวร์มาลงว่าเป็นคนไทยใจกัมพูชา สิ่งนี้ต้องระมัดระวังเพื่อให้นานาชาติเข้าใจ เพราะการต่อสู้ขณะนี้ หากทำไม่ดี จะเป็นผลผูกพันกับเรื่องของดินแดนกับอีกหลายอย่างและจะลากเราเข้าไปสู่ศาลโลก จะยิ่งเป็นปัญหา เพราะเราไม่อยากเข้าศาลโลก เนื่องจากเราไม่ได้รับรอง เท่าที่คุยกับกระทรวงกลาโหม ไม่มีอะไรน่าหนักใจ เป็นการพูดคุยความเข้าใจกัน ทั่วโลกเข้าใจดี ว่าไม่ใช่บทบาทหรือความต้องการของรัฐบาลไทย แต่เป็นเรื่องของประชาชนมอบบังเกอร์ให้ชาวบ้านมีที่หลบภัยเวลา 12.20 น. วันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ทวีตภาพการตรวจดูการทำบังเกอร์ พร้อมลงข้อความผ่านเอ็กซ์ (X) ว่า “โรงงานพรีคาสท์ที่เดิมเริ่มต้นจากการผลิตชิ้นส่วนของที่อยู่อาศัย วันนี้ ได้หันมาผลิต “บังเกอร์” เพื่อเป็นที่หลบภัยในยามที่มีสถานการณ์ไม่ปลอดภัย ผมมาตรวจความเรียบร้อยก่อนส่งมอบบังเกอร์เพิ่มอีก 20 ลูก ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย—กัมพูชา หลังจากก่อนหน้านี้เราส่งไปแล้ว 30 ลูก บังเกอร์ทั้งหมดนี้น่าจะช่วยรองรับได้หลายร้อยชีวิตเลยครับ โรงงานนี้เป็นของแสนสิริ มีกำลังการผลิตได้กว่าปีละล้านตารางเมตร การแบ่งเวลามาสร้างบังเกอร์เหล่านี้จริงๆ ก็ไม่ได้กระทบอะไรใหญ่โต แต่สิ่งที่เราได้กลับมา มันมากกว่าคอนกรีตแน่นอนครับ นี่ไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้าง แต่คือ “เกราะกำบังแห่งความอุ่นใจ” ที่ช่วยให้พ่อแม่ ลูกหลาน และทุกคนในชุมชน มั่นใจได้ว่ามีที่พึ่ง มีที่หลบภัย ไม่ต้องเผชิญความไม่แน่นอนเพียงลำพัง ผมเชื่อว่าความแข็งแรงของประเทศ เริ่มจากความมั่นคงของประชาชนก่อนเสมอ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งก้าวเล็กๆที่เราตั้งใจทำ เพื่อไปสู่ก้าวที่ใหญ่กว่าของสังคมไทยในอนาคต”“บิ๊กป้อม” หนุนสร้างกำแพงกั้นแดนพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และอดีต ผบ.ทบ.กล่าวถึงสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย—กัมพูชา หลังเกิดเหตุระเบิดซ้ำซ้อน ส่งผลทหารได้รับบาดเจ็บสาหัสเหยียบกับระเบิด นับเป็นรายที่ 6 ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจที่ต้องเผชิญภัยคุกคามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอแสดงความเสียใจ เรียกร้องรัฐบาลและกองทัพเร่งดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่ เยียวยาอย่างครบถ้วนเป็นธรรม พรรค พปชร. สนับสนุน การสร้าง “กำแพงคอนกรีตถาวร” ตามแนวชายแดนพื้นที่ที่เกิดเหตุปะทะและพบการฝังกับระเบิดบ่อยครั้ง เพื่อยกระดับการป้องกัน สร้างความมั่นคงถาวรให้แก่ประชาชน เป็นสิ่งที่ตนได้ริเริ่มตั้งแต่สมัยเป็น มทภ.1 พรรคขอเสนอ 4 แนวทางเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาดังนี้ 1.เรียกร้องให้รัฐบาลตอบโต้ทั้งทางการทูตและด้านความมั่นคงอย่างเฉียบขาดทันที 2.นายกฯและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ควรแถลงต่อสภาและประชาชนโดยตรง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นชี้แจงแผนรับมืออย่างโปร่งใส 3. จัดตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อตรวจสอบ ติดตามสถานการณ์ชายแดนอย่างต่อเนื่อง ตรวจสอบบทบาทนักการเมืองที่อาจขัดขวางการทำงานด้านความมั่นคง 4. เร่งดำเนินการสร้างกำแพงคอนกรีตถาวรถ้าเห็นทหารกัมพูชาวางบึมยิงได้เลยพล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังรับมอบสิ่งของจากประชาชนที่นำมาให้ทหาร ถึงเหตุการณ์ทหารเหยียบทุ่นระเบิดขาขาด ที่แนวบังเกอร์ ใกล้ปราสาทตาควาย ว่า เป็นทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาลักลอบแอบมาวางใหม่ จากการตรวจสอบบริเวณโดยรอบ พบทุ่นระเบิดเพิ่มอีก 3 ลูก เป็นเจตนาวางใกล้โซนรั้วลวดหนามที่ฝ่ายไทยคุมพื้นที่อยู่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาแล้ว ถ้าพบเห็นทหารกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางระเบิดในฝั่งเราแล้วเราพบเห็น ได้สั่งการไปว่าถ้าพบเห็นสามารถยิงได้ เพราะถือเป็นการละเมิดรุกล้ำอธิปไตยเรา ส่วนการแก้ไขปัญหาขั้นตอนต่อไปหลังจากการประชุม RBC แล้วเป็นการประชุม GBC ซึ่งเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ช่วงต้นเดือน ก.ย.ชงโรดแม็ปสร้างรั้วเข้า สมช.—ครม.ที่วิทยาลัยเสนาธิการทหาร เวลา 16.00 น. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวเรื่องการสร้างรั้วถาวร ที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ว่า โรดแม็ปที่เตรียมไว้เรามีมากมาย ศบ.ทก. และ GBC ได้เตรียมโรดเเม็ปไว้แล้ว เตรียมนำเสนอเข้าสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อให้สมช.เสนอต่อให้ ครม.เห็นชอบถึงจะดำเนินการตามโรดแม็ปที่ตั้งไว้ได้ ขั้นที่หนึ่ง คือต้องหยุดยิงโดยสมบูรณ์ ส่วนเรื่องการสร้างรั้วไม่มีปัญหาเพราะเราเห็นด้วย แต่เขตแดนที่จะไปสร้างรั้ว ต้องได้รับความชัดเจนก่อนหากไปสร้างรั้วในจุดที่ไม่มีความชัดเจน อาจเกิดปัญหาขึ้นมาได้อีกเพราะฉะนั้นจึงต้องมีลำดับของโรดแม็ปว่าเราจะต้องทำอะไรก่อน ขณะนี้ โรดแม็ปเสร็จแล้วคาดว่าจะเสนอต่อ สมช.ในสัปดาห์หน้าเตรียมสร้างรั้วถาวรที่ กม.50-51ช่วงเย็น ที่ จ.สระแก้ว พล.อ.มนัส จันดี เสนาธิการทหาร เปิดเผยว่า กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมคณะลงพื้นที่ สำรวจแนวชายแดนตั้งแต่หลักเขตที่ 48 ต่อเนื่องถึง 51 บริเวณพื้นที่บ้านป่าไร่ ถึงบ้านท่าข้าม เขต อ.อรัญประเทศ การสำรวจดังกล่าวเพื่อเตรียมสร้างแนวกำแพงแนวชายแดนไทย-กัมพูชาและได้ข้อสรุปเบื้องต้นบริเวณหลักเกณฑ์ที่ 50-51 ซึ่งไทยและกัมพูชาเห็นตรงกันแล้วเรื่องเขตแดน จะสร้างเป็นรั้วถาวรจุดแรกระยะทางประมาณ 10 กม. แต่บริเวณอื่นๆ ที่ยังมีการอ้างสิทธิ ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องเขตแดนที่ชัดเจน เบื้องต้นจะสร้างเป็นแนวรั้วชั่วคราวด้วยวิธีการตัดถนนเลียบตลอดแนวชายแดน วางรั้วลวดหนามหีบเพลงสามชั้น พร้อมติดกล้องวงจรปิดในจุดที่สามารถดำเนินการได้ เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ในการเคลื่อนย้ายกำลัง รวมถึงการลาดตระเวนตรวจตรา นอกจากนี้การปรับพื้นที่ให้โล่ง จะทำให้การลักลอบผ่านแดนตามช่องทางธรรมชาติยากขึ้น ถือเป็นการสกัดกั้นทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และปัญหาสแกมเมอร์ได้เริ่มต้นทันทีหลัง สมช.อนุมัติพล.อ.มนัสกล่าวต่อว่า การดำเนินการจะเริ่มต้นทันทีที่นำเรื่องเข้าขออนุมัติจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และไม่ได้ติดขัดเรื่องงบประมาณ เชื่อว่าภายในปีนี้น่าจะเห็นแนวรั้วกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มต้นเกิดขึ้นได้ ขั้นตอนต่อจากนี้จะมีการลงรายละเอียดพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนตามแนวชายแดนที่บางส่วนอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่เชื่อว่าประชาชนพร้อมที่จะเสียสละเพื่อความมั่นคงปลอดภัยของส่วนรวมด้าน พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผอ.สำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำรั้วตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นจากข้อเรียกร้องของประชาชน ส่วนกรณีประชาชนต้องการระดมงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องขอบคุณประชาชน คงต้องดูในแง่กฎหมายว่าจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไรต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่