เหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา “แม้จะเริ่มต้นจากข้อพิพาทเชิงพื้นที่” แต่กลับกลายเป็นสงครามข้อมูลแพร่กระจายไปไกลเกินกว่าสมรภูมิจริงจาก “ฝ่ายกัมพูชาสื่อสารขาดเอกภาพ” ในการโต้ตอบด้วยคำพูด ข่าวสาร และภาพ ที่เร่งเร้าความเกลียดชังในหมู่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศแทนที่จะสื่อสารสร้างความเข้าใจ “ลดความตึงเครียด” กลับใช้สื่อเป็นกระบอกเสียง บิดเบือน ปลุกเร้าอารมณ์ชาตินิยมอย่างเปิดเผย ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระดับประชาชน แม้ไม่เกี่ยวข้องความขัดแย้งนี้ก็ตามแถมส่งผลให้การเจรจาทางการทูตยากยิ่งขึ้น เช่นนี้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จึงถอดบทเรียนจัดราชดำเนินเสวนาหัวข้อสมรภูมิข่าวสารในวิกฤติความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผอ.สำนักข่าวไทยพีบีเอส ที่ได้ลงพื้นที่สะท้อนถึงบทบาทสื่อว่าปัจจุบันการสู้รบไม่ได้จำกัดอยู่แค่สนามรบทางทหารเท่านั้น แต่ขยายไปสู่หลากหลายมิติที่เรียกว่า “สงครามลูกผสม” ครอบคลุมทั้งด้านการทูต ข้อมูลข่าวสาร การทหาร และเศรษฐกิจ เช่นนี้การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาก็ยังไม่ได้ยุติถาวร “เป็นเพียงการหยุดยิงชั่วคราว” เพราะทหารยังเผชิญหน้าตึงเครียดกันอยู่อย่างต่อเนื่อง นับแต่ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเป้าหมายทางทหาร “เน้นศูนย์อำนวยการรบฝ่ายตรงข้าม” เพราะกัมพูชาตั้งจรวด PHL-03 เล็งจุดยุทธศาสตร์ไทยที่เป็นภัยคุกคามไม่สามารถรอให้มีการยิงก่อนถึงจะตอบโต้ได้โดยมีเป้าหมาย “สถาปนาเสถียรภาพความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน” เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ เหตุนี้ฝ่ายไทยต้องจัดการภัยคุกคามให้หมดสิ้น “แม้หยุดยิงก็ไว้ใจไม่ได้” เพราะยังไม่ชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามปรับกำลังมีแผนหลังจากหยุดยิงอย่างไร ถ้าหากปะทะกันใหม่ก็คาดว่าจะรุนแรงกว่าครั้งก่อนแน่นอนอีกทั้งถ้าดู “มิติด้านการทูต” แต่ละฝ่ายก็นำทูตทหารลงพื้นที่เพื่อยืนยันข้อมูลตอบโต้กันอยู่ตลอด สิ่งนี้กำลังกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน จนบางคนมองว่าอาจต้องใช้เวลาอีก 100 ปีจึงจะฟื้นความสัมพันธ์ได้ ดังนั้นหากจะอ้างว่าเป็นการสร้างสันติภาพจำเป็นต้องทำมากกว่าการสู้รบ โดยเฉพาะในด้านการสื่อสาร และข้อมูลข่าวสารเพราะสถานการณ์ตอนนี้อ่อนไหวมาก “นักข่าวถามแค่ว่าการสู้รบจะถึงพนมเปญไหม” กลายเป็นประเด็นรุนแรงสะท้อนถึงความรู้สึกเปราะบางคนกัมพูชาที่มีทัศนคติติดลบต่อคนไทยและคนไทยก็เริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นในสมรภูมิข่าวสารนี้ยังปรากฏพบ “สมรภูมิคอมเมนต์” ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความแตกแยก และอคติ หากไม่ระวังอาจบั่นทอนความเป็นมนุษย์และขยายความขัดแย้งระหว่างประชาชนได้อย่างรวดเร็วตัวอย่างกรณีที่บุคคลสำคัญกล่าวว่า “เราจริงใจกับกัมพูชาในการแก้ปัญหา” ซึ่งแม้มีเจตนาดีแต่กลับถูกกระแสโจมตีทัวร์ลงอย่างหนัก สะท้อนถึงความอ่อนไหวของสังคมต่อคำพูดที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายเหมือนกันด้วยสมรภูมิครั้งนี้ได้เข้าสู่ “มิติสงครามจิตวิทยา” ในปฏิบัติการข่าวสารถูกแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.การประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สาธารณะรับรู้ว่าเรากำลังทำอะไร เน้นความน่าเชื่อถือแสดงถึงความเป็นมนุษยธรรม 2.ปฏิบัติการจิตวิทยา มุ่งสร้างผลกระทบต่อจิตใจของฝ่ายตรงข้าม ทั้งการพูดยั่วยุ เช่น เอารถถังออกมาเลยลักษณะข่มขวัญให้ฝ่ายตรงข้ามเสียขวัญ กังวล หรือไขว้เขวและ 3.การโฆษณาชวนเชื่อ มุ่งโน้มน้าวผู้คนให้เข้าใจมุมมองตัวเอง เช่น กลับประเทศก็ไม่มีงานทำหรอก อดตาย ใช้ข้อมูลบางส่วนบิดเบือนเมื่อเป็นเช่นนี้ “เอกภาพการใช้ข่าวสารในบริบทความขัดแย้ง” ต้องมีกระบวนการแสวงหาข้อตกลงทางใจในการใช้สื่อแบบไหน เพื่อวัตถุประสงค์ใด และจะใช้เมื่อไหร่ โดยต้นทางของข่าวสารต้องแถลงให้ชัดเจนก่อน ส่วนการปฏิบัติการจิตวิทยาจะใช้ Influencer หรือโฆษณาชวนเชื่อเข้ามาเสริมตามหน้าที่ก็ใช้กันไปเพียงแต่แยกกันต่างหากกับ “การทหาร” อย่างเช่นการยึดเนิน 350 หรือการรุกลํ้าเข้าไปพื้นที่ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นหน้าที่ของทหาร ส่วนด้านมนุษยธรรมและการทูตก็ดำเนินไปตามบทบาทของตัวเองโดยต้องไม่รบกวนกัน จริงๆแล้ว “Message” เป็นสิ่งสำคัญแต่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเจตจำนงทางการเมืองจาก “รัฐบาลก่อน” หากไม่มีท่าทีชัดเจนทหารในพื้นที่จะสับสน และขาดเอกภาพ “รัฐบาล” จึงต้องตัดสินใจเด็ดขาด และสื่อสารให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน เพื่อให้ทุกคนมีทิศทางร่วมกันนำมาซึ่งการก่อเกิดเอกภาพในการปฏิบัติตามมาหลังจากนั้นก็สร้าง Single Message สื่อถึงประชาชนในประเทศ ประชาคมโลก และคู่ขัดแย้งว่า “จะเล่นแบบไหน” ในสถานการณ์ความมั่นคงนี้ไม่ว่าจะใช้ปฏิบัติการจิตวิทยา หรือข้อมูลผ่านช่องทางใดๆ“แม้การสื่อสารเราช้ากว่าฮุน เซน หรือช้ากว่าฝ่ายตรงข้าม แต่ควบคุมข้อมูลได้ผ่าน Single Gateway ดังนั้นสิ่งที่จะชนะคือความน่าเชื่อถือในข้อมูลที่ตรวจสอบได้โดยไม่มี fake news เรื่องนี้ก็เห็นความพยายามของ ศบ.ทก. ดำเนินการด้านการสื่อสารในภาวะวิกฤติอยู่เพียงแต่ต้องทำต่อเนื่อง และประเมินทิศทางอย่างสม่ำเสมอ” ก่อเขต ว่าย้ำต่อว่า “สื่อในความขัดแย้งมีบทบาทหลายระดับ” ถ้าพูดในภาพใหญ่มีเป้าหมายสูงสุดในการสื่อสารคือ “สันติภาพโดยไม่มีการสู้รบ” ซึ่งสื่อสามารถช่วยให้เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์นี้บรรลุได้ แต่ต้องมีศิลปะมากอยู่พอสมควร เพราะสื่อจะนำเสนอเรื่องใด อย่างไร และเมื่อใด ต้องดูให้เหมาะสมกับกาลเทศะบริบทสถานการณ์นั้นแล้วต้องตอบให้ได้ว่า “สิ่งที่ทำนั้นนำพาสู่สันติภาพ หรือเสรีภาพหรือไม่?” แม้ว่าเวลานี้เสียงปืนจะเงียบลงแต่ก็เห็นฝ่ายตรงข้ามยังเสริมกำลังเต็มไปด้วยแรงกดดัน ดังนั้นการสื่อสารสาธารณะจึงต้องหนักแน่นมีวุฒิภาวะ รวมถึงรัฐบาล และกองทัพ ก็ต้องมองเป้าหมายร่วมกันคือฟื้นเศรษฐกิจ และการค้าชายแดนให้กลับมาเป็นปกติแล้วสิ่งที่ทำนั้น “ก็ไม่เป็นการอ่อนข้อ หรือยอมจำนนปฏิบัติการใดๆ” แต่ดำเนินไปมีเป้าหมายเพื่อรักษาอธิปไตย และความมั่นคง “โดยไม่จำเป็นต้องชนะด้วยการรบเสมอไป” หากหลุดจากกรอบเดิมได้ก็จะเห็นชัยชนะแท้จริง ในการใช้หลักเดินหน้าของการพูดคุย การค้า และความเป็นมนุษย์ในการอยู่ร่วมกันสำหรับหย่าศึกเพราะสุดท้ายเราทุกคนต้องอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน และอยู่ร่วมกันให้ได้ในระยะยาว ทั้งหมดนี้คือความคาดหวังของสื่อในฐานะผู้รับผิดชอบต่อสังคม และไม่ใช่แค่ในอดีต หรือปัจจุบัน แต่รวมถึงในอนาคตด้วยบทสุดท้ายนี้ “สื่อควรรู้จุดยืน และกลับไปถามตัวเองว่าเราคือใคร” สิ่งสำคัญที่สุดต้องรู้ตัวเองก่อนว่าวันนี้เราอยู่ในสถานะไหน และในสถานการณ์เฉพาะหน้าจะทำหน้าที่อย่างไรให้ดีที่สุดเพื่อรับใช้สังคม...นี่ไม่ใช่ภารกิจสื่อคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกสื่อทุกแพลตฟอร์ม.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม