นักเรียนชาย ม.5 จ.อุทัยธานี “ไม่พอใจคะแนนสอบ 18 เต็ม 20” ได้ก่อเหตุรัวหมัดทำร้ายครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์กลางห้องเรียน ต่อหน้าเพื่อน ทำให้ครูซี่โครงอักเสบบาดเจ็บสาหัส และจบลงด้วยคณะกรรมการบริหารโรงเรียนมติที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ให้นักเรียนคนก่อเหตุลาออกไปแล้วแต่สิ่งที่ยังไม่จบคือ “คำถามของสังคมไทย” เกิดอะไรขึ้นกับเด็กของเราทำไมอารมณ์ถึงพุ่งสูงกว่าการยับยั้งชั่งใจ..? เมื่อเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยกลับกลายเป็นความเครียดนำไปสู่การใช้ความรุนแรงได้ขนาดนั้น โดยเรื่องนี้ ดร.สุพัทธ แสนแจ่มใส นักจิตวิทยา สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล บอกว่า ปัจจัยส่งผลต่อการก้าวร้าวมีหลายส่วนอย่าง “ทางชีววิทยา” ด้วยบางคนมีความเครียดในตัวมากๆ มักทำให้ร่างกายหลั่งสารความ เครียดหรือคอร์ติซอลออกมา แต่หากหลั่งในปริมาณมากก็ไปรบกวนระบบทำงานของสมองส่วนอื่น “เกิดการยั้งคิดยั้งทำ” ส่งผลให้การกำกับอารมณ์บกพร่อง บางคนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนโดยไม่รู้สึกตัวก็มีอีกปัจจัยคือ “วัยรุ่นฮอร์โมนมักพลุ่งพล่าน” ทำอะไรก็ทำไปด้วยอารมณ์รวดเร็วกว่าสมองส่วนคิดไตร่ตรอง ด้วยเพราะช่วงวัยรุ่นสมองส่วนอารมณ์จะพัฒนาเต็มที่จากการเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก แต่สมองส่วนเหตุผลยังไม่สมบูรณ์ การตอบสนองมักใช้อารมณ์ก่อนคิด ทำให้มีกฎหมายเด็กทำความผิดอาจละโทษ หรือผ่อนหนักเป็นเบาแต่ถ้ามาดู “ปัจจัยเกิดความเครียดในเด็ก” ตามหลักพื้นฐานเกิดได้ตั้งแต่ต้นทุนชีวิต ความรู้ ความคิด เงินทอง ประสบการณ์ “อันมีไม่เพียงพอรับมือกับสิ่งที่มากดดัน” ทำให้เกิดความเครียดโดยอัตโนมัติอย่างเด็กสอบมักเครียดเพราะไม่แน่ใจว่าความรู้ที่มีจะพอตอบคำถาม หรือไม่แน่ใจว่าคะแนนจะออกมาตามที่หวังหรือไม่สิ่งนี้เป็นเหมือนพลังงานที่เข้ามา “เมื่อเด็กมีความสามารถต้นทุนน้อยกว่าสิ่งที่ต้องเผชิญ” ก็จะเกิดแรงกดดันเกิดความเครียดขึ้นได้เช่นเดียวกับ “ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม” ถ้าเด็กเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีความคาดหวังสูงอย่างบ้านเชื่อว่าหากลูกสอบได้ 4.00 คือคนเก่งก็ย่อมทำให้เด็กเกิดความกดดันรุนแรงตามมาเสมอซึ่งบางเคสที่เคยดูแลอยู่นั้น “เด็กสอบได้เกรดเฉลี่ย 3.9 กว่า” กลับมีอาการซึมเศร้าแต่พอคุยกับพ่อแม่มักจะบอกว่าไม่ได้กดดัน “ลูกทำได้แค่ไหนก็พร้อมสนับสนุน” ซึ่งความจริงเด็กสามารถได้รับแรงกดดันจากสิ่งรอบตัวได้ เช่น ผู้ปกครองพูดคุยกันถึงความสำเร็จของลูกคนนั้นเรียนหมอ หรือลูกคนนี้ได้ทุนไปเรียนต่างประเทศแม้ฟังดูเป็นการชื่นชม “แต่เด็กอาจรู้สึกว่าพ่อแม่อยากให้เป็นแบบนั้น” บางกรณีเด็กเรียนเก่งอยู่แล้วพ่อแม่ก็นำคนเก่งกว่าเปรียบเทียบ “จนรับรู้ว่ายังเก่งไม่พอ” ยิ่งกว่านั้นก็เลือกชมเฉพาะตอนที่เก่งได้ที่ 1 มองข้ามการทำดี ความพยายาม ความรับผิดชอบ ทำให้เด็กยึดติดกับมาตรฐานความสำเร็จตามที่ครอบครัวหล่อหลอมไว้ทว่าในส่วน “โรงเรียน” ก็มีผลต่อความรู้สึกอย่างเด็กต่างจังหวัดพยายามมาเรียนโรงเรียนแข่งขันสูงในกรุงเทพฯ และเจอกับเพื่อนเก่งๆ มากมาย และจากที่เคยเป็นที่ 1 ในอำเภอก็จะรู้สึกไม่โดดเด่น ยิ่งโรงเรียนที่มักมีป้ายไวนิลโชว์เกียรติยศของเด็กสอบติดมหาวิทยาลัยดีๆ เป็นการสร้างความกดดันให้เด็กโดยไม่รู้ตัวถูกบีบให้ต้องแข่งขันมุ่งเป้าสู่ความสำเร็จด้านผลสอบ “เด็กบางกลุ่มรู้สึกว่าสู้ไม่ไหว” ก็อาจเลิกความพยายาม หรือเลือกเส้นทางเกเรหันไปทำอย่างอื่นแทน “เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนแนวคิดสังคมทั้งระบบ” แม้โรงเรียนลดการแข่งขันแต่ค่านิยมสังคมยังยึดติดว่าโรงเรียนดังคือสัญลักษณ์ของความเก่ง มีอนาคตที่ดี เช่น เป็นเจ้าคนนายคน เจ้าของธุรกิจประการต่อมา “ปัจจัยด้านจิตใจ” ในการจัดการปัญหาจัดการอารมณ์ที่เรียกว่า “ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) และความสามารถเผชิญอุปสรรค (AQ)” เด็กบางคนอาจรับมือกับความผิดหวังไม่สมดั่งใจได้ดี และบางคนอาจรับมือได้ยากกับความโกรธ น้อยใจ หรือไม่พอใจ เป็นเรื่องปกติที่ต้องยอมรับเรียนรู้ที่จะจัดการให้เหมาะสมแล้วหัวใจสำคัญคือ “โกรธได้แต่ไม่ทำร้ายใคร ไม่ทำร้ายข้าวของ และไม่ทำร้ายตัวเอง” โดยจำเป็นต้องมีวิธีจัดการกับความโกรธนั้น “ถ้าจัดการไม่ได้ก็ต้องออกจากสถานการณ์ให้ใจสงบ” แต่ไม่ใช่หนีไปเอาอารมณ์แค้นติดตัวไปด้วยอันจะนำมาสู่เหตุร้ายตามข่าว เช่นนี้คนโกรธต้องเคลียร์ความรู้สึกแย่ๆก่อนกลับไปเผชิญอีกดังนั้นการระงับอารมณ์ทางจิตใจเด็กขึ้นอยู่กับ “สิ่งแวดล้อม” โดยเฉพาะครอบครัวเพราะเด็กซึมซับมาจากผู้เลี้ยงดูหากเติบโตในบ้านที่ใช้อารมณ์ก็จะเลียนแบบ แต่บางคนก็เลือกยึดแบบอย่างครูที่ใจเย็นและมีเมตตาก็มีปัญหาว่า “บางครอบครัวไม่เคยใช้ความรุนแรง” แต่ค่อนข้างเคร่งครัดเกินไปก็ส่งผลต่อสภาพจิตใจเช่นกัน “เด็กอาจจะโตมาในสภาพยึดมาตรฐานสูง” จนรู้สึกผิดพลาดไม่ได้เป็นแรงกดดันจิตใจ จึงไม่ต้องแปลกสังคมไทยมักมีวลีว่าลูกฉันเป็นคนดี ไม่เชื่อว่าเขาจะทำแบบนั้น เพราะเด็กพยายามเป็นคนดีตามแบบที่พ่อแม่คาดหวังกลายเป็นกรอบกดทับสะสม “ไม่มีช่องระบายก็ระเบิดออกมาพอรู้ตัวมักจะสำนึกผิด” ดังนั้นความรุนแรงในเด็กมีต้นตอจากอารมณ์ หากไม่ได้จัดการก็แสดงออกรูปแบบทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายสิ่งของ ทำร้ายตัวเองเช่นนี้ทางออกสำคัญอยู่ที่สร้างรากฐานที่มั่นคงในสังคม “เริ่มจากครอบครัวควรเน้นชื่นชมความพยายามมากกว่าผลลัพธ์” ตั้งแต่เขาตั้งใจอ่านหนังสือ ขยันซ้อม ทำการบ้านสม่ำเสมอ “หยุดเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น” แม้พ่อแม่หลายคนจะรู้สึกว่าไม่ได้กดดันลูกหรือไม่ได้ตั้งใจเปรียบเทียบ แต่เด็กมักซึมซับแรงกดดันจากบทสนทนาไม่ว่าจะเป็นช่วงในงานรวมญาติ เช่น ตรุษจีน สงกรานต์ เช็งเม้ง “เด็กได้ยินจะจดจำโดยไม่รู้ตัว” แล้วความจริงการเปรียบเทียบมักไม่ยุติธรรมกับเด็กแต่ละคนแค่เกิดมาก็ไม่เหมือนกันแล้ว หรือแม้กระทั่งลูกในบ้านเดียวกันพี่น้องกันเองก็ยังไม่เหมือนกัน และเราจะคาดหวังให้เหมือนคนอื่นได้อย่างไร..?สุดท้ายนี้การสอนลูกให้เรียนรู้ “การจัดการอารมณ์” ไม่ใช่แค่เฉพาะลูกแต่รวมถึงพ่อแม่ด้วย เพราะการจัดการอารมณ์คือทักษะชีวิตที่ทุกคนต้องมี “พ่อแม่” ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วค่อยถ่ายทอดไปถึงลูก และบางครั้งความหวังดีของพ่อแม่อาจกลายเป็นการรังแกโดยไม่ตั้งใจเหมือนคำโบราณที่ว่า “พ่อแม่รังแกฉัน”โดยเฉพาะเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์คอยช่วยเหลือจนเด็กไม่ได้เรียนรู้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง และเคยชินกับการที่ทุกอย่างต้องได้ดั่งใจ ดังนั้นพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องซัพพอร์ตลูกแต่ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ล้มเหลว เรียนรู้ข้อผิดพลาด แต่เราพร้อมเป็นที่พึ่งเมื่อลุกขึ้นมาเหมือนเป็นฟูกรองรับ และมือคอยจับในวันที่เขาต้องการเดินต่อเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ “ความรุนแรงในโรงเรียน” แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงเวลาต้องหันมาสนใจสร้างเด็ก–เยาวชนให้สมบูรณ์ในทุกด้านก่อนที่เด็กคนต่อไปจะระเบิดออกมาเพราะสิ่งเล็กน้อยแบบนี้อีก..คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม