เสียงสะท้อนจากรั้วสภา กลายเป็น “ไฟลามทุ่ง” ให้สังคมทั้งประเทศต้องหันมาจับตามอง เมื่อผู้แทนปวงชนท่านหนึ่ง ลุกขึ้นอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 ด้วยการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการใช้งบด้านศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาพร้อมวลีเด็ดที่กลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ว่า...“กราบอะไรก็ไม่รู้”ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปาก ภาพพระภิกษุไทยกราบสังเวชนียสถานในแดนพุทธภูมิประเทศอินเดียก็ถูกฉายขึ้นกลางสภาและถูกถ่ายทอดสดออกไปทั่วประเทศ เสียงสะเทือนใจดังขึ้นทันทีในหัวใจคำถามตามมามีว่า...ผู้แทนราษฎรซึ่งคือปากเสียงของประชาชน ควรจะพูดเช่นนั้นหรือไม่? แม้เจ้าของวลีจะรีบออกมาขอโทษต่อสังคม แต่คำพูดก็เหมือนลูกธนูที่ถูกยิงออกไปแล้ว ยากที่จะเรียกคืน เพราะสิ่งที่สะเทือนยิ่งกว่าคือ “ความศรัทธา” ที่ถูกลบหลู่...? “ศรัทธา...ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” พระครูจินดาสุตานุวัตร (พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก) ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. ย้ำว่า เรื่องนี้มิใช่แค่การวิพากษ์งบประมาณ แต่เป็นการก้าวล่วงในพื้นที่ละเอียดอ่อนของ “ความเชื่อทางศาสนา”การเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานทั้ง 4 สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา ปรินิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอินเดียและเนปาล...ถือเป็นเส้นทางแห่งศรัทธาที่ชาวพุทธทั่วโลกต่างใฝ่ฝัน แม้ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสไป แต่ก็เชื่อมั่นในคุณค่าและความหมายอันยิ่งใหญ่คำพูดว่า “ไปกราบอะไรก็ไม่รู้” จึงมิใช่แค่การตั้งคำถาม แต่กลายเป็น “การประมาทศรัทธา” ที่ฝังรากลึกในจิตใจพุทธศาสนิกชนมานานนับพันปี โบราณว่า “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา” ยังมีความจำเป็นและคงความสำคัญอยู่ในปัจจุบัน การกระทำที่เกิดขึ้นทางวาจานับตั้งแต่พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ...ก็ถือว่าเป็นวจีกรรมคือการกระทำทางวาจาที่ไม่ดี“ผู้ใดกระทำเช่นนี้ย่อมเกิดผลเสียต่อผู้ถูกใส่ร้ายอย่างแน่นอน นับตั้งแต่อาจจะสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้ที่ได้รับฟังจนสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ถูกกล่าวถึง” บัดนี้การกระทำผิดทางวาจาได้เกิดขึ้นแล้ว กรรมคือการกระทำย่อมส่งผลให้ผู้ที่ใช้มุสาวาทนั้น ได้รับผลกระทบขึ้นมาแล้ว...นับตั้งแต่ถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่นับถือศาสนาพุทธหรือไม่? เป็นนักการเมืองที่ไม่มีสติคิดให้รอบคอบ? เป็นผู้แทนปวงชนที่สำคัญผิดและเข้าใจผิดตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาหรือไม่?และ...เป็นผู้แทนปวงชนที่ไม่เคารพศาสนาของคนอื่นหรือไม่? รวมถึงเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาหรือไม่?เหล่านี้...ก็เป็นสิทธิ์ที่แต่ละคนสามารถคิดไปได้ “มนุษย์”... เราจึงมีความสำคัญอยู่ที่การคิด การพูด และการกระทำเป็นที่ตั้ง คิดดี พูดดี ทำดีก็จะเกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวมอย่างมหาศาล แต่ถ้าคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วแล้วก็จะเกิดโทษทั้งต่อตนเองและต่อส่วนรวมอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน ดังนั้นจะ...คิด จะ...พูด และจะ...ทำก็ขอให้มีสติ ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทอนึ่งการรู้จักออกมาขอโทษต่อสังคมเมื่อตนเองใช้คำพูดที่ผิดพลาดไปแล้วก็ถือว่าเป็น “การสำนึกผิดที่ได้กระทำลงไป” สังคมเราและชาวพุทธย่อมรู้จักให้อภัยได้เช่นเดียวกัน เมื่อผิดพลาดไปแล้วก็ขอให้สำนึกผิดจริงๆ แล้วอย่าไปกระทำเช่นนั้นอีกและไม่ควรกลายเป็นการเลียนแบบที่ไม่ดีหรือสร้างแบบที่ไม่ดี “คนเราเมื่อผิดพลาดไปแล้วและรู้จักขอโทษขออภัยแล้ว เราก็ควรให้อภัย...ให้โอกาส แต่การขอโทษไม่ควรมีเพียงเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือเท่านั้น ควรจะมีการแสดงออกในความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นมากกว่านี้จะเป็นเช่นใดหรือด้านใด ชาวพุทธหรือพระภิกษุที่เป็นหนึ่งในพุทธบริษัทควรพิจารณาตามเหมาะสม”เพื่อมิให้พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก ประการสำคัญ...บทบาทและหน้าที่ของพระภิกษุในพระพุทธศาสนาถูกชาวบ้านใส่ร้ายและย่ำยีมามากแล้ว ขอให้มาทบทวนกันใหม่ได้แล้ว ข้อบกพร่องที่เคยมีมาในอดีตนั้นขอให้นำมาเป็นบทเรียนในปัจจุบันและพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขก่อให้เกิดประโยชน์ในทันทีทุกชีวิตย่อมมีข้อบกพร่องในตนเอง ขอให้รู้จักปรับปรุงและแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้น ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นกับส่วนรวมโดยเฉพาะพระพุทธศาสนาของเรา สังเวชนียสถานและพุทธศาสนพิธีต่างๆ มิใช่เพียง “ประเพณี” แต่คือหลักฐานที่ยืนยันว่าพุทธศาสนาเคยมีอยู่จริง พระพุทธองค์เคยมีอยู่จริง และหลักธรรมยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของผู้คนนับพันล้านทั่วโลก คำพูดว่า “ไปกราบอะไรก็ไม่รู้” จึงมิใช่คำถาม ธรรมดา แต่เป็นการท้าทายสิ่งที่ชาวพุทธนับถือสูงสุด“ขอชาวพุทธจงอย่าได้เหยียดหยามการนับถือศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาที่ตนเองนับถือหรือศาสนาที่ตนเองไม่นับถือ การนับถือศาสนาเป็นสิทธิ์ของทุกชีวิต” พระครูจินดาสุตานุวัตร ว่า“ตราบใดที่ศาสนาหรือการนับถือศาสนานั้นๆไม่สร้างความเสียหายความเดือดร้อนให้กับตนเองและคนอื่น ไม่ก่อให้เกิดโทษต่อส่วนรวม การไม่ดูแคลนคนอื่น การให้เกียรติคนอื่น การให้ความสำคัญคนอื่นย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อคนอื่นและต่อตัวเราด้วย” ศาสนาทุกศาสนาล้วนสอนและชี้นำให้มนุษย์เราเป็นคนดีและทำแต่ความดี ถ้าไม่ทำเช่นนี้โอกาสที่จะ “ตกนรก” ก็มีมากขึ้นแล้วก็ตัวใครตัวมันหรือ “กรรมใครกรรมมัน” เพราะสอนแล้วก็ยังไม่ “สำนึก” รับผิดชอบชั่วดีพระภิกษุทั้งหลายได้เดินทางไปต่างแดนเพื่อกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองเคารพนับถือ ใครได้...“บุญ” และใครได้...“บาป” ก็ทราบกันแล้วเพราะ “สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ” นั่นเอง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม