ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ ยังคงต้องโฟกัสไปที่สถานการณ์ของคน 2 ตระกูล 2 ประเทศ ที่มีบทบาทต่อความเป็นไป ของบ้านเมือง แม้ทุกอย่างจะคลี่คลายไปทีละเปราะ พูดง่ายๆ คือใกล้ถึงจุดจบเข้าไปทุกที ที่กัมพูชาขุนศึกตระกูล “ฮุน” ที่นำโดย “ฮุน เซน” ที่ระยะหลังหายไปจากหน้าจอไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็น คงกำลังซ่อนเร้นกายอยู่หลังฉาก!ไม่ต่างไปจากลูกชาย “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรี ที่เคลื่อนไหวคงเป็นคนข้างกาย หรือทีมงานที่จะต้องรับหน้าเสื่อเปิดสงครามสื่อกับไทยอ่านจากเกมที่เป็นจริงแล้วคงเห็นแล้วว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก เนื่องจากความอ่อนล้า และ “มุก” ที่เคยนำมาใช้หมดลงไปเรื่อยๆและสร้างขึ้นมาใหม่ยากขึ้นเพราะเป็นเรื่องของความโกหกมดเท็จที่ไร้ความจริงเนื่องจากถูกความจริงเข้ากลบจนไม่มีน้ำหนักความเชื่อถือ ทำให้กร่อยไปตามวิถีทางเมื่อไทยเล่นบทตีแผ่ความจริงประจานไปทั่วโลก นอกจากจะนำทีมสังเกตการณ์จากนานาชาติ และใช้นักการทูตรวมถึงการให้ข้อมูลองค์กรนานาชาติทำให้ข้อเท็จจริงกระจายไปทั่วโลกที่สำคัญเป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้ 2 พ่อลูกจึงต้องหลบอยู่ในเงามืดไม่กล้าโผล่หน้าออกมาเผชิญกับความจริงต้องเล่นบทนักรบใน “เงามืด”เพราะทุกอย่างใกล้จบ เก็บฉากได้แล้วอีกตระกูลในประเทศไทยคือตระกูล “ชิน” ที่กำลังเผชิญศึกนิติสงครามพันไปทั้งลูกและพ่อผู้พ่อล่าสุดศาลสั่งยกฟ้องคดี ม.112 ก็ลอยตัวไปเรื่องหนึ่งทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น โดยเฉพาะสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างอิสระจึงเป็นช่องทางที่จะทำอะไรได้มากขึ้นก่อนหน้านี้เคยขอศาลไปต่างประเทศ แต่ติดที่คดี ม.112 จึงได้รับการอนุญาตบ้าง และห้ามบางกรณีทำให้เกิดความอึดอัดเพราะเขาคุยว่าต้องการไปพบกับเพื่อนนักธุรกิจชาวต่างชาติ เพื่อชวนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยครานี้ก็ต้องดูว่าจะเป็นอย่างที่คุยเอาไว้หรือไม่?แต่ต้องไม่ลืมว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ยังมีอีกคดีหนึ่งคือชั้น 14 รพ.ตำรวจ ที่ศาลนัดตัดสินในวันที่ 9 ก.ย.2568คดีนี้แวดวงการเมืองวิเคราะห์ไปทางว่า “ไม่รอด” แน่!ก็เลยมองไปอีกมุมหนึ่งคือเมื่อ “ทักษิณ” สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างเสรี อาจจะใช้โอกาสนี้ “หนี” อีกรอบ ก็มีความเป็นไปได้เอาไว้ใกล้ๆก็คงพอจะเห็นทิศทาง!ที่สำคัญทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกับลูกสาว “แพทองธาร ชินวัตร” นายก รัฐมนตรี ซึ่งศาลนัดชี้ชะตาในวันที่ 29 ส.ค.68เพราะชะตากรรมของลูกสาวคือสิ่งที่เขาจะต้องรับผิดชอบด้วยหากลูกสาวถูกตัดสินว่าไม่ผิดก็จะต้องดูแลใกล้ชิดกันต่อไป เนื่องจากไม่อาจไว้วางใจ “พี่เลี้ยง” คนไหนเท่ากับตัวเองเว้นแต่จะมีความผิดจนต้องพ้นจากตำแหน่ง!ก็ไม่ต้องมีห่วงอะไรมาก เผ่นได้ก็ต้องเผ่น เพราะเขาไม่ต้องการติดคุกทุกอย่างกำลังเดินทางไปสู่จุดสุดท้ายเป็นวิบากกรรมที่ทำตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครไปทำหรือกลั่นแกล้งจะเป็นจุดสุดท้ายทางการเมืองของ “ตระกูล”หรือการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...ต้องลุ้นกัน!“ลิขิต จงสกุล”คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม